วันศุกร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2554

ว่ายน้ำ...ลดน้ำหนักได้ไหม?


ว่ายน้ำลดน้ำหนักได้ไหม ? ว่ายน้ำลดความอ้วนได้ไหม ?

การว่ายน้ำกระตุ้นให้หิวและกินมากขึ้นนักวิจัยมหาวิทยาลัยฟลอริดา รายงานว่า ผู้ที่ว่ายน้ำในน้ำเย็นจะทานอาหารหลังจากออกกำลังกายมากกว่าผู้ที่ว่ายน้ำใน น้ำอุ่น เมื่อคำนวณแคลอรีแล้วพบว่า ผู้ที่ว่ายน้ำในน้ำเย็นกินมากกว่าผู้ที่ว่ายน้ำในน้ำอุ่น เกือบ 50 เปอร์เซ็นต์ เรื่องนี้พออธิบายได้ว่า ทำไมผู้ที่พยายามลดน้ำหนักด้วยการว่ายน้ำจึงไม่ค่อยเห็นผล เช่นกับผู้ที่เลือกวิ่งจ๊อกกิ้งหรือขี่จักรยาน
ฉะนั้นเมื่อรู้ถึงข้อ เสียของการว่ายน้ำลดน้ำหนักแล้วก็นำมาปรับปรุงเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพในการ ลดน้ำหนักและลดความอ้วนของคุณด้วยนะค่ะ การว่ายน้ำถึงจะเรียกได้ว่าเป็นการลดน้ำหนักที่ได้ผลอย่างแท้จริง ต่อไปนี้สำหรับคำถามที่ว่า ว่ายน้ำลดน้ำหนักได้ไหม หรือ ว่ายน้ำลดความอ้วนได้ไหม คงไม่ต้องคาใจคุณผู้หญิงอีกต่อไป

วันอังคารที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ฝรั่งแช่บ๊วย ไม่ระวัง...ถึงตาย!


ขอเตือนหนุ่มสาวออฟฟิศที่ชอบผลไม้รถเข็น

เพราะเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และมหาวิทยาลัยสยาม เขาร่วมกันเก็บตัวอย่างผลไม้รถเข็น เพื่อทดสอบการปนเปื้อนในอาหาร ปรากฏว่า ผลไม้แปรรูปมีการปนเปื้อนของสารเคมีที่อาจเป็นอันตรายถึงร้อยละ 64.2 ส่วนใหญ่เป็นฝรั่งดองบ๊วยที่มีสีเขียว และสีแดงเข้ม และยังมีสารกันราหรือวัตถุเคมีเจือปนอยู่ในผลไม้ถึงร้อยละ 32.1

โดย พญ. มาลินี สุขเวชชวรกิจ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ก็ออกมาเตือนว่าการบริโภคผลไม้และอาหารที่มีสีสันสวยงามจากสารเคมี อาจส่งผลให้ท้องเสีย ท้องร่วง คลื่นไส้อาเจียน วิงเวียนศีรษะ หูอื้อ มีไข้ หายใจขัด เป็นบ่อเกิดมะเร็งและอาจทำให้เสียชีวิตได้ด้วยซ้ำ

ดังนั้น การเลือกผลไม้ควรพิจารณาจากสีและรูปร่างที่มีลักษณะเป็นธรรมชาติ และดูความสะอาดดี ๆ หากเป็นไปได้เตรียมผลไม้มารับประทานเองจะปลอดภัยที่สุด

4 วิธีฟิตสมองในตอนเช้า


เริ่มต้นเช้าวันใหม่อย่างสดใส ด้วย 4 เคล็ดลับต่อไปนี้ค่ะ


1. หลับตาอาบน้ำ

เปิดก็อกน้ำ ปรับความแรงหรืออุณหภูมิของน้ำโดยใช้ประสาทสัมผัสและความรู้สึก (อย่าลืมฝึกวิธีปรับอุณหภูมิให้แม่นก่อนลงมือ เพื่อป้องกันน้ำร้อนลวกตัว) หลับตาใช้มือสัมผัสหาอุปกรณ์อาบน้ำ จากนั้นจึงล้างหน้า อาบน้ำหรือโกนหนวด

2.เกมสลับมือ

ขยับสมอง ฝึกใช้มือข้างที่คุณไม่ถนัด แปรงฟัน หมุนฝาหลอดยาสีฟันและป้ายยาสีฟันบนแปรง อาจใช้วิธีนี้กับกิจกรรมยามเช้าอื่น ๆ …การฝึกลักษณะนี้เป็นการกระตุ้นสมองส่วนที่ไม่ค่อยได้ใช้งาน ให้เริ่มสั่งการเพื่อปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ ที่สมองซีกนี้ไม่ค่อยมีส่วนร่วม

มีการวิจัยพบว่า การฝึกเช่นนี้ส่งผลให้วงจร และเครือข่ายสมองในส่วนเยื่อหุ้มสมองคอร์แทกซ์ที่ทำหน้าที่ควบคุม และรับส่งคำสั่งจากมือ มีการขยายตัวอย่างมาก และในอัตราที่รวดเร็ว หรืออาจลองทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยมือข้างเดียวก็ได้

3. อยู่ในโลกไร้เสียง

ปิดหูด้วยการใส่หูฟังขณะรับประทานอาหารกับครอบครัว เพื่อสัมผัสโลกเงียบ…คนใกล้ตัวคงเคยบ่นว่า คุณฟังสิ่งที่เขาพูดเพียงครึ่งเดียว ซึ่งเป็นเรื่องที่มักเกิดขึ้นตอนยุ่งอยู่ ลองฝึกตัวเองด้วยวิธีนี้ จะทำให้คุณบังคับตัวเองให้ใช้ตัวช่วยอื่นในการทำกิจกรรม เช่น รู้ว่าขนมปังปิ้งที่อยู่ในเครื่องปิ้งได้ที่แล้ว โดยไม่ต้องพึ่งเสียง

4. เช้าวันธรรมดาที่ไม่ธรรมดา

ลองเลือกกิจกรรมต่อไปนี้หนึ่งหรือสองข้อ แต่ไม่ควรทำหมดทุกข้อในเช้าวันเดียวกัน

สลับลำดับกิจวัตรตอนเช้า เช่น ถ้าคุณเคยแต่งตัวก่อนกินข้าว ลองเปลี่ยนมากินข้าวก่อนแต่งตัว

ถ้าคุณเคยรับประทานกาแฟกับขนมปังทุกเช้า ลองเป็นข้าวโอ๊ตและชาสุขภาพ หรืออาหารอื่นบ้าง

เปลี่ยนเสียงนาฬิกาปลุก เปลี่ยนรายการวิทยุ หรือทีวีไปเป็นรายการที่คุณไม่เคยฟัง รายการเด็กเป็นตัวอย่างที่ดี ในการกระตุ้นสมองให้สนใจในเรื่องที่คุณเคยมองข้าม

เปลี่ยนเส้นทางที่จะเดินทางไปทำงาน

จากการศึกษาภาพถ่ายของสมอง กิจกรรมใหม่ ๆ จะกระตุ้นเซลล์ประสาทที่กินพื้นที่สมองชั้นนอกในบริเวณกว้าง วิธีเติมกิจกรรมใหม่นี้จะให้ผลลดลง เมื่อกิจกรรมนั้นกลายเป็นสิ่งที่ทำเป็นกิจวัตร หรือเป็นอัตโนมัติ เนื่องจากสมองต้องใช้พลังในการทำสิ่งใหม่ ๆ มากกว่าต่อนทำกิจกรรมที่ทำจนชินแล้ว

วันจันทร์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2554

คนกินหวาน ระวังสมองเฉื่อย ความต้านทานต่ำ


คงเป็นข่าวร้ายพอสมควร สำหรับบรรดา "ชมรมคนรักความหวาน" ที่ชื่นชอบ "น้ำตาล" เป็นชีวิตจิตใจ เพราะผลวิจัยทางการแพทย์สรุปออกมาแล้วว่า มีภัยอันตรายที่แฝงเร้นอยู่ภายใต้ความหวานนั้นมากมายทีเดียว

แต่ที่น่าตกใจไปกว่านั้นก็คือ เมื่อได้ตรวจสอบข้อมูลไปยังกระทรวงสาธารณสุขที่เฝ้าติดตามสถานการณ์เกี่ยวกับการบริโภคน้ำตาลของคนไทยทำให้พบว่า ในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา อัตราการบริโภคน้ำตาลของคนไทยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเพิ่มเฉลี่ยจากคนละ 12 กิโลกรัมต่อปีในปี พ.ศ.2526 กลายเป็นคนละ 29 กิโลกรัมต่อปีในปี พ.ศ.2545 เรียกว่า เพิ่มขึ้นจากเดิมกว่า 2 เท่าตัว

ซ้ำร้ายดัชนีที่เกิดขึ้นยังเป็นแนวโน้มเดียวกันกับการบริโภคน้ำตาลในรูปแบบขนม ลูกอมและเครื่องดื่มประเภทต่างๆ ซึ่งปรากฏชัดเจนกับเด็กรุ่นใหม่ที่กระแสบริโภคถูกกระตุ้นโดยการโฆษณา

"จากข้อมูลทางโภชนาการและสุขภาพ เป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วว่า การบริโภคน้ำตาลที่มากเกินควร นอกจากนำมาซึ่งปัญหาโรคอ้วนและโรคฟันผุแล้วการรับประทานน้ำตาลมากๆ มีอันตรายต่อสุขภาพหลายประการโดยน้ำตาลซูโครสหรือฟรุกโตส จะทำให้ระดับไขมัน กลูโคส อินซูลินและกรดยูริกในเลือดสูงขึ้น เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญทำให้เกิดโรคหัวใจขาดเลือดและโรคเบาหวาน

"ผู้ที่ชอบกินหวานจัดบ่อยๆ จะทำให้ระบบความสมดุลของแร่ธาตุในร่างกายเสียไป ส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกันโรคในร่างกายลดต่ำลง ผลที่ตามมาก็คือทำให้ติดเชื้อง่าย นอกจากนี้ การเผาผลาญน้ำตาลในร่างกายบ่อยๆ ยังเป็นตัวเร่งให้เกิดอนุมูลอิสระ เมื่อบริโภคเป็นเวลานานจะก่อให้ระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง อีกทั้งการรับประทานน้ำตาลซูโครสมาก ทำให้กรดอะมิโนที่มีชื่อว่า ทริปโตฟาน ถูกเร่งเข้าสู่สมองมากเกินไป ทำให้เสียสมดุลของฮอร์โมนในสมอง ผลที่ตามมาก็คือทำให้เกิดอาการเซื่องซึม เหนื่อย ไม่กระฉับกระเฉง ซึ่งหากเป็นในเด็กจะทำให้เรียนไม่รู้เรื่องและหากเป็นวัยทำงานก็จะทำงานไม่มีประสิทธิภาพ" นายแพทย์วัลลภ ไทยเหนือ ปลัดกระทรวงสาธารณสุขให้ข้อมูลถึงอันตรายจากการบริโภคน้ำตาล เมื่อติดตามพิษร้ายที่เกิดจากความหวานต่อไป ก็ทำให้ได้ข้อมูลอีกด้วยว่า การรับประทานอาหารรสหวานมากไป จะทำให้เด็กอิ่มและตัดโอกาสที่เด็กจะได้รับสารอาหารอื่นๆ ที่จำเป็นต่อร่างกาย

ผลการศึกษาในปี พ.ศ.2546 พบว่าเด็กกลุ่มอายุ 6-15 ปี ได้รับอาหารที่ให้พลังงานมากถึง 23 % สูงกว่ามาตรฐานที่กำหนดไว้ที่ 10 % กว่าเท่าตัว ตรงนี้บ่งชี้ว่า สถานการณ์การกินหวานในเด็กไทย อยู่ในขั้นที่ควรร่วมกันแก้ไขโดยด่วน

"ในความเป็นจริงนั้น การติดหวานสามารถถูกสร้างขึ้นตั้งแต่วัยเริ่มต้นของชีวิต โดยพ่อแม่และผู้ใหญ่เป็นกลุ่มแรกที่สร้างภาวะให้เด็กติดหวาน เนื่องจากบริโภคนิสัยของเด็กจะถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ช่วงขวบปีแรก เริ่มจากนมและอาหารเสริมที่ป้อนให้ เมื่อเด็กโตขึ้นเด็กจะติดอาหารหวานและจะเพิ่มปริมาณความหวานมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากคนที่เคยชินรสหวาน เมื่อได้รสหวานสมองจะหลั่งสารชนิดหนึ่งเรียกว่าโอปิออยด์( Opioid) ออกมาทำให้เกิดความพอใจ และอยากกินหวาน ทำให้อ้วนได้เร็ว

"ดังนั้น นี้ กระทรวงสาธารณสุขจะเร่งรณรงค์ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมประชาชนในเรื่องนี้อย่างจริงจังโดยเริ่มจากส่งเสริมให้เด็กกินนมแม่แทนนมขวด พร้อมทั้งจะมีการประกวดโรงพยาบาลปลอดนมขวดทั่วประเทศ ส่งเสริมให้เด็กกินนมรสจืด แทนนมรสหวานหรือนมปรุงรส ส่งเสริมให้เด็กกินผลไม้ที่รสไม่หวานแทนการกินขนมหวาน และรณรงค์ให้งดการเติมน้ำตาลในก๋วยเตี๋ยว อีกทั้งให้งดการดื่มน้ำอัดลมและอมท๊อฟฟี่ด้วย" ปลัดกระทรวงสาธารณสุขสรุปแผนการรณรงค์เพื่อให้เด็กไทยรอดพ้นจากการบริโภคความหวานมากเกินไปทิ้งท้าย

วันศุกร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ตำนานวันคริสต์มาส


ตำนานวันคริสต์มาส

คำว่า "คริสต์มาส" เป็นคำทับศัพท์ภาษาอังกฤษว่า Christmas มาจากคำภาษาอังกฤษโบราณว่า Christes Maesse ที่แปลว่า "บูชามิสซาของพระคริสตเจ้า" ซึ่งพบครั้งแรกในเอกสารโบราณที่เป็นภาษาอังกฤษในปี ค.ศ. 1038 และในปัจจุบันคำนี้ก็ได้เปลี่ยนมาเป็นคำว่า Christmas

เทศกาล Christmas หรือ X’Mas ตรงกับวันที่ 25 ธันวาคมของทุกปี ซึ่งวันที่ 25 ธันวาคมนั้นเป็นวันประสูติของพระเยซู ศาสดาแห่งศาสนาคริสต์ โดยพระองค์ประสูติที่เมืองเบ็ธเลเฮ็มและเติบโตที่เมืองนาซาเรท ซึ่งปัจจุบันคือประเทศอิสราเอล ตามหลักฐานในพระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ว่า พระเยซูเจ้าประสูติในสมัยที่จักรพรรดิซีซาร์ ออกุสตุส แห่งจักรวรรดิโรมัน ซึ่งทรงสั่งให้จดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งแผ่นดิน โดยฝ่ายคีรีนิอัส เจ้าเมืองซีเรียก็รับนโยบายไปปฏิบัติให้มีการจดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งอาณาเขต แต่ในพระคัมภีร์ ไม่ได้ระบุว่า พระเยซูประสูติวันหรือเดือนอะไร
ด้านนักประวัติศาสตร์ก็มีความเห็นที่ต่างออกไปโดยได้วิเคราะห์ว่า เดิมทีวันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันที่จักรพรรดิเอาเรเลียนแห่งโรมัน กำหนดให้เป็นวันฉลองวันเกิดของสุริยะเทพ ตั้งแต่ปี ค.ศ.274 ชาวโรมันซึ่งส่วนใหญ่นับถือเทพเจ้าฉลองวันนี้เสมือนว่า เป็นวันฉลองของพระจักรพรรดิไปในตัวด้วย เพราะจักรพรรดิก็เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ ที่ให้ความสว่างแก่ชีวิตมนุษย์ แต่ชาวคริสต์ที่อยู่ในจักรวรรดิโรมัน รวมถึงชาวโรมันที่เปลี่ยนไปนับถือคริสต์อึดอัดใจที่จะฉลองวันเกิดของสุริยเทพ จึงหันมาฉลองการบังเกิดของพระเยซูซึ่งเปรียบเสมือนความสว่างของโลก และเหมือนดวงจันทร์เป็นความสว่างในตอนกลางคืนแทน หลังจากที่ชาวคริสต์ถูกควบคุมเสรีภาพทางศาสนาตั้งแต่ปี ค.ศ. 64-313 จนถึงวันที่ 25 ธันวาคม ปี ค.ศ.330 ชาวคริสต์จึงเริ่มฉลองคริสต์มาสอย่างเป็นทางการและเปิดเผย

เทศกาลคริสต์มาสจึงเป็นวันแห่งการเฉลิมฉลองวันประสูติของพระเยซู และเป็นการฉลองความรักที่พระเจ้ามีต่อมนุษย์โลก โดยส่งบุตรชาย คือ "พระเยซู" ลงมาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อช่วยไถ่บาป และช่วยให้มนุษย์รอดพ้นจากการทำชั่วนั่นเอง ดังนั้นในวันนี้ถือเป็นวันที่มีความหมายสำคัญชาวคริสต์ทั่วโลก และมีการส่งบัตรอวยพร ให้ของขวัญ แก่กันและกัน รวมทั้งประดับประดาตกแต่งบ้านเรือนด้วยแสงไฟ และต้นคริสต์มาสอย่างสวยงาม

วันศุกร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

เคล็ดลับ 13 ประการ เพื่อการเรียนอย่างมีประสิทธิภาพ


วันนี้เรามีเคล็ดลับดีๆ มาฝากเพื่อเป็นแนวทางในการเรียนอย่างมีประสิทธิภาพ เคล็ดลับทั้ง 13 ประการนี้เป็นข้อแนะนำง่ายๆ ที่ท่านสามารถนำมาปฏิบัติกับตัวเองได้เลยลองศึกษาดูซิว่า มีข้อให้ไหนบ้างที่ตรงกับตัวท่านหรือข้อไหนที่เรามีอยู่ในตัวเราแล้วไม่ต้องปรับมาก.....

1. รับผิดชอบ รับผิดชอบตนเอง ไม่ยืมจมูกคนอื่นหายใจ เป็นผู้ชนะจากความสามารถของตน

2 เริ่มต้นดี ช่วงเดือนแรกในรั้วมหาวิทยาลัย ถือเป็นช่วงวิกฤตของน้องใหม่ หากเริ่มต้นดี ความสำเร็วจะไม่อยู่ไกลเกินเอื้อม

3 กำหนดเป้าหมายในการเรียนอย่างแน่วแน่ กำหนดเป้าหมายในการเรียนให้ชัดเจน ทั้งระยะสั้นและระยะยาว และทุ่มเทความพยายามให้บรรลุเป้าหมายนั้น

4 วางแผนและจัดการ มีการวางแผน จัดลำดับความสำคัญของกิจกรรมที่ต้องทำ หากทำตารางเวลาเป็นรายสัปดาห์ได้ยิ่งดี

5 มีวินัยต่อตนเอง เมื่อกำหนดเป้าหมาย วางแผน และจัดการ ตามข้อ 4 และ 5 แล้วต้องสัญญากับตนเองอย่างแน่วแน่ที่จะมีวินัย และปฏิบัติตาม

6 อย่าล้าสมัย วิทยาการพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว การค้นคว้าหาความรู้ ต้องอิงกับข้อมูลที่ทันสมัย ทันเหตุการณ์

7 ฝึกฝนตนเองให้เรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ ศึกษาข้อเสนอแนะในคู่มือเล่มนี้ และฝึกทักษะการเรียนรู้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ติดตัวตลอดไป

8 เตรียมพร้อมเพื่อเข้าสู่ชั้นเรียน เตรียมตัวเป็นผู้ใฝ่หาความรู้อย่างแข็งขัน หากเป็นไปได้เตรียมอ่านเอกสารที่จะเรียนมาก่อนเข้าห้องเรียน

9 มุ่งมั่น จดจ่อต่อบทเรียน มีสมาธิ สนใจ ตั้งใจ เวลาอาจารย์สอน ไม่เข้าเรียนเพื่อพูดคุยกัน ซังกะตาม รอเวลาเลิกชั้น

10 เป็นตัวของตัวเอง รู้จักคิดและทำ ด้วยความสามารถของตนเองคิดเสมอว่าเราเป็นผู้หนึ่งที่มีศักยภาพสูง

11 มีความกระตือรือล้น ความสำเร็จเป็นของผู้ที่มีความริเริ่ม เป็นฝ่ายรุกที่จะมุ่งหน้า และคว้าความสำเร็จเป็นของตน

12 มีสุขภาพดี อย่าลืมใส่ใจต่อสุขภาพร่างกาย กิจกรรมนันทนาการ และกิจกรรมสังคม วางแผนจัดเวลาต่อสิ่งเหล่านี้ให้พอเหมาะ

13 เรียนอย่างมีความสุข พยายามเก็บเกี่ยวความน่าสนใจในบทเรียน คิดเสมอว่าทุกวิชาน่าเรียนรู้ น่าสนุกทั้งนั้น แล้วท่านจะพบว่า เราก็เรียนอย่างมีความสุขได้

วันพุธที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

โยคะร้อนปรับสมดุลร่างกาย


เดี๋ยวนี้ส่วนหนึ่งของกิจกรรมยามว่างที่สาวๆ สนใจ มักจะเป็นกิจกรรมที่มีเรื่องของการดูแลสุขภาพเข้ามาเกี่ยวข้อง … “โยคะ” ร้อนก็เป็นอีกกิจกรรมหนึ่งที่เป็นวัฒนาการของศาสตร์แห่งโยคะ ที่ตอนนี้กำลังเป็นที่นิยมอย่างมากเลยทีเดียวล่ะค่ะ
หลายคนอาจจะรู้จักแต่การเล่นโยคะธรรมดา แต่โยคะร้อนนั้นมีอะไรที่พิเศษกว่านั้นค่ะ การเล่นโยคะร้อนนั้น ประกอบด้วยท่าหลักทั้งหมด 26 ท่า ผู้ฝึกจะฝึกในห้องที่มีอุณหภูมิสูงใกล้เคียงกับอุณหภูมิภายในร่างกาย ประมาณ 36-37 องศาเซลเซียส ซึ่งจะทำให้กล้ามเนื้อยืดหยุ่น ได้มากกว่า อุณหภูมิปกติ ท่าต่างๆของโยคะร้อน จะช่วยกระชับกล้ามเนื้อในส่วนต่างๆ ของร่างกาย ทำให้ช่วยลดปัญหาการปวดหลังและคอ รวมทั้งทำให้ระบบไกลเวียนของโลหิตดีขึ้น อุณหภูมิที่สูงยังทำให้ร่างกายสามารถกำจัดของเสียออกมาในรูปเหงื่อได้เป็นอย่างดี จึงเป็นปัจจัย หลักที่ทำให้น้ำหนักลด และ ทำให้รู้สึกสดชื่นหลังการฝึกอีกด้วยล่ะค่ะ แหมได้ฟังแค่นี้สาวๆ ก็เริ่มสนใจแล้วใช่รึเปล่าล่ะค่ะ
แล้วทำไมต้องเรียกว่าโยคะร้อนด้วยล่ะ? … ที่ต้องเรียกว่าโยคะร้อนก็เพราะว่า ในการล่นโยคะร้อนจะต้องเล่นอยู่ในห้องที่มีอุณหภูมิห้องประมาณ 36-37 องศาเซลเซียส ซึ่งการเล่นโยคะร้อนในห้องร้อนนี้จะทำให้กล้ามเนื้อยืดหยุ่นได้มากกว่าในอุณหภูมิปกติ ท่าต่าง ๆ จะช่วยกระชับกล้ามเนื้อในส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ลดปัญหาการปวดหลังและคอ ทำให้ระบบการไหลเวียนของเลือดดีขึ้น นอกจากนี้อุณหภูมิที่สูงยังช่วยให้ร่างกายสามารถกำจัดของเสียออกมาในรูปเหงื่อได้เป็นอย่างดีอีกด้วยล่ะค่ะ
และถ้าสาวๆ อยากจะเล่นโยคะร้อนล่ะก็ ก่อนเล่นสาวๆ ควรจะต้องรู้ว่า ...
1. ต้องปรับความเข้าใจก่อนนะคะว่า การฝึกโยคะ จะต้องทำเท่าที่เราทำได้ อย่าพยายามฝืน ควรเริ่มทำช้าๆ ก่อน เพราะจะได้รับรู้ว่าตรงไหนตึง ตรงไหนเจ็บ หากทำเร็วๆ กระชากแรงๆ โดยที่ไม่รู้ว่ากล้ามเนื้อของเรายืดได้มากน้อยแค่ไหน อาจเกิดอาการเคล็ดขัดยอกขึ้นได้
2. ก่อนฝึกควรกินอาหารมาก่อนอย่างน้อย 3 ชั่วโมง เพราะการฝึกโยคะร้อนต้องมีการขยับตัวแน่นอน ซึ่งถ้าหากกินอาหารแล้วมาฝึกโยคะเลย จะทำให้รู้สึกอึดอัด เวลาพับตัวท้องจะถูกกด อาจทำให้เกิดอาการหน้ามืด มึนหัว
3. ระหว่างวันควรดื่มน้ำให้เยอะ เพราะการฝึกโยคะร้อน ร่างกายจะเสียเหงื่อมาก อีกทั้งการดื่มน้ำเยอะๆ จะช่วยป้องกันการเป็นตะคริวได้ด้วย
เมื่อได้เล่นโยคะร้อนแล้ว สิ่งที่สาวๆ จะได้รับก็คือ ... เมื่อฝึกโยคะอย่างสม่ำเสมอ ร่างกายจะมีการปรับสมดุลให้ดีขึ้น อย่างเช่น จะมีการปรับสมดุลในเรื่องของเลือด เลือดจะไหลเวียนได้ดีขึ้น ส่งผลให้เมตาบอลิซึ่มดีขึ้น ทำให้ร่างกายไม่อ้วน หุ่นดี นอกจากนี้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง การฝึกโยคะร้อนก็คือการออกกำลังกาย จะมีเหงื่อออกมากขึ้น เกิดการขับถ่ายของเสียออกมาทางผิวหนัง ทำให้ผิวพรรณสดใสเปล่งปลั่งขึ้นตามลำดับ