วันพุธที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2552

Moi-Même


Je suis gaie , timides ,curieuse de tout et ambitieuse.

Je n'aime pas les gens qui sont jaloux ,hypocrites,menteurs, capricieuse et égoïstes.

Je suis sensible ,timides et ambitieuse mais Je suis nerveuse.

วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2552

7 เคล็ดลับอ่านให้จำ ในเวลาจำกัด


มีหลายๆ คนที่ช่วงสอบเจอปัญหาว่า อ่านหนังสือกี่ทีกี่ครั้ง ก็จำไม่ได้สักที แถมไม่มีเวลาแล้วด้วย สมาธิก็ไม่รู้หายไปไหนหมด ไม่อ่านก็ไม่ได้ด้วย เกิดสอบตกขึ้นมาจะเศร้ากว่าเดิม ไม่ต้องกังวลไปค่ะ พี่แนนก็มีเคล็ดลับดีๆ ที่จะช่วยให้ชาวเด็กดีอ่านหนังสือสอบให้จำได้อย่างสบายๆ มาบอกกันค่ะ ไปดูกันเลยจ้า...
1. ต้องสร้างทัศนคติที่ดีต่อการอ่านหนังสือซะก่อน หากมีทัศนคติที่แย่ๆ ต่อการอ่านหนังสือแล้ว อ่านถึง 10 รอบก็ไม่มีทางจำได้ อ่านเยอะอย่างไรก็ไม่เข้าหัว

2. เมื่อมีทัศนคติที่ดีต่อการอ่านหนังสือแล้ว ก็ต้องมาสร้างแรงจูงใจในการอ่านหนังสือด้วย แรงจูงใจจะเป็นตัวผลักดันและกระตุ้นให้มีความอยากในการอ่านหนังสือ ซึ่งวิธีการสร้างแรงจูงใจก็คือ พยายามคิดถึงผลที่จะเกิดขึ้น ถ้าเราอ่านหนังสือสำเร็จ เช่น ถ้าเราตั้งใจอ่านหนังสือและเตรียมความฟิตให้ตัวเองจนพร้อมแล้ว เราก็สามารถตะลุยข้อสอบได้ ผลก็คือได้คะแนนเป็นที่น่าพอใจ จากจุดนี้ก็จะทำให้เราได้เกรดสูงๆ หรือไม่ก็ Admissions ติด พ่อ แม่ พี่ น้อง ก็จะดีใจหรืออาจจะได้รับของขวัญเล็กๆ น้อยๆ จากท่านอีกก็ได้ อิอิ

3. พยายามสรุปเรื่องที่เราอ่านแล้วจำเป็นรูปภาพ ปกติแล้วมนุษย์จะจำเรื่องราวทั้งหมดเป็นรูปภาพ หลายๆวิชาที่ไม่มีรูปภาพประกอบทำให้เราอ่านแล้วไม่สามารถจินตาการ หรือจดจำได้ ให้เพื่อนๆ สรุปเรื่องที่เราอ่านแล้ว นำมาทำเป็น My map เพื่อเชื่อมโยงในส่วนที่สัมพันธ์กันและวาดให้เป็นความเข้าใจของตัวเอง จะทำให้จำได้แม่นขึ้น

4. หาเวลาติวให้เพื่อน เป็นวิธีการทบทวนความรู้ไปในตัวได้ดีที่สุด เพราะเราจะสอนออกมาจากความเข้าใจของตัวเราเอง หากติวแล้วเพื่อนที่เราติวให้เข้าใจ ถือว่าเราแตกฉานในความรู้นั้นได้อย่างแท้จริง

5. เน้นการตะลุยโจทย์ให้เยอะๆ พยายามหาข้อสอบย้อนหลังมาทำให้ได้มากที่สุด เพราะการตะลุยโจทย์จะทำให้เราจำได้ง่ายกว่าการอ่านเนื้อหา

6. เตรียมตัวและให้ความสำคัญในการอ่านหนังสือในวิชาที่เราถนัดมากกว่าวิชาที่ดันไม่ขึ้น หลายคนเข้าใจผิด ไปทุ่มเทเวลาให้กับวิชาที่เราไม่ถนัด วิชาไหนที่เราไม่ถนัด ดันยังไงมันก็ไม่ขึ้น เสียเวลาเปล่า เอาเวลาไปทุ่มให้กับวิชาที่เราทำได้ให้ชัวร์ดีกว่า จะได้เอาคะแนนไปถัวเฉลี่ยกับวิชาอื่นๆ แบบนี้เข้าท่ากว่าเยอะนะ

7. สมาธิเป็นสิ่งสำคัญมากในการอ่านหนังสือ การอ่านหนังสือให้มีประสิทธิภาพ ต้องมีสมาธิดี ใครที่สมาธิสั้น จะจำยาก ลืมง่าย ใครสมาธิดี จะจำง่าย ลืมยาก การอ่านหนังสือ ต้องอ่านต่อเนื่องอย่างน้อย ชั่วโมงครึ่ง 30 นาทีแรกจิตใจของเรากำลังฟุ้ง ให้พยายามปรับให้นิ่ง 60 นาทีหลัง ใจนิ่งมีสมาธิแล้วก็พร้อมรับสิ่งใหม่ เข้าสู่สมอง ที่สำคัญอย่าเอาขยะมาใส่หัว ห้ามคิดเรื่องพวกนี้ซักพักเช่น เรื่องหนัง , เกม , แฟน พยายามออกกำลังกาย ดูแลสุขภาพ สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้จิตใจเรานิ่งขึ้น

โอ้ .. ดูแล้วก็ทำได้ไม่ยากเลยใช่ไหมคะ ที่สำคัญคือ เราต้องเตรียมตัวให้พร้อม และมีกำลังใจในการอ่านนะคะ คิดเอาไว้ว่า คะแนน คะแนน คะแนน ไม่ตก ไม่ตก ไม่ตก ก็ได้นะคะ (ฮ่าๆ)

วันพฤหัสบดีที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2552

วิธีถนอมดวงตาขั้นพื้นฐาน


ไม่ว่าคุณผู้อ่านจะมีปัญหาสายตาหรือไม่ รศ.นพ.อนันต์ วงศ์ทองศรี จักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านการรักษาสายตาผิดปกติ ด้วยวิธีเลสิก ก็ยังแนะนำให้ทุกท่านดูแลดวงตาของตนเองด้วยวิธีง่าย ๆ โดยเฉพาะผู้ที่ต้องทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ เพื่อไม่ให้สายตาเกิดปัญหาจากการใช้งานอุปกรณ์ดังกล่าว หรือที่เรียกว่า คอมพิวเตอร์ วิชั่น ซินโดรม

เริ่มจากการใช้สายตามองจอคอมพิวเตอร์ ควรพักสายตาทุก ๆ ½ หรือ 1 ชั่วโมง นาน 5 – 10 นาที โดยหันหน้าออกจากจอคอมพิวเตอร์เพื่อมองสิ่งอื่น ๆ เช่น ต้นไม้สีเขียว ให้รู้สึกสบายตา ลดความเมื่อยล้าของดวงตา และเพื่อป้องกันอาการตาแห้งที่มักทำให้รู้สึกแสบตาร่วมกับอาการน้ำตาไหลให้กระพริบตาถี่ ๆ ระหว่างมองจอคอมพิวเตอร์จะช่วยลดปัญหาดังกล่าวได้

ส่วนเรื่องของอาหารการกินที่เป็นประโยชน์กับดวงตา ให้รับประทานอาหารที่มีวิตามิน แคโรทีน วิตามินบี และเอบี ผักใบเขียวทุกชนิดไม่ใช่แค่ผักบุ้งตามความเชื่อเท่านั้น และที่สำคัญไม่แพ้อาหารคือการพักผ่อนด้วยการนอนหลับอย่างเพียงพอ ป้องกันดวงตาขุนหมองอิดโรยและเหนื่อยล้า

สุดท้ายสำคัญเพราะสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนไปหลังจากโลกร้อนขึ้นพาให้แสงแดดยิ่งร้อนแรงสว่างจ้าจนสายตาสู้ไม่ไหว ดังนั้นจึงควรสวมแว่นกันแดดเพื่อลดทอนแสงยูวีถือเป็นการถนอมจอประสาทตา ทั้งยังช่วยป้องกันฝุ่นละอองที่พัดมากับลมได้

เพียงแค่ดูแลดวงตาตามข้อควรปฏิบัติขั้นพื้นฐานก็จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาสายตา ส่วนผู้ที่มีปัญหาสายตาอยู่แล้ว ก็จะช่วยหยุดยั้งไม่ให้ปัญหารุนแรงขึ้นได้.

วันศุกร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

นมช็อกโกแลต ชะลอการอักเสบ


มีการศึกษาพบว่า "การดื่มนมไม่มีไขมันกับโกโก้ชนิดมีสารฟลาโวนอยด์สูง อาจช่วยลดการอักเสบ หรืออาการธาตุไฟกำเริบ ทำให้หลอดเลือดมีสุขภาพดี เสื่อมหรืออุดตันช้าลง" โดยคณะนักวิทยาศาสตร์จากบาร์เซโลนา สเปน ทำการศึกษาในอาสาสมัครอายุ 55 ปีขึ้นไป 47 คนที่มีความเสี่ยงโรคหัวใจ แบ่งกลุ่มตัวอย่างเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งให้ดื่มซองผงโกโก้ขนาด 20 กรัมกับนมไร้ไขมันวันละ 2 ครั้ง
อีกกลุ่มหนึ่งให้ดื่มแต่นมไร้ไขมันเปล่าๆ ติดตามไป 1 เดือน แล้วสลับกลุ่มทดลองแบบไขว้กัน คือ ให้กลุ่มดื่มนมช็อกโกแลตไปดื่มนมเปล่า และกลุ่มดื่มนมเปล่าไปดื่มนมช็อกโกแลต ผลการศึกษาพบว่า "กลุ่มที่ดื่มนมช็อกโกแลตมีสารเคมีที่บ่งชี้การอักเสบ หรือธาตุไฟกำเริบน้อยกว่า แถมยังมีโคเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) สูงขึ้นมากกว่าคนที่ดื่มนมเปล่า"
คนไหนที่ไม่ชอบดื่มนมาลองหันมาดื่มกันดูนะคะ นอกจากบำรุงสุขภาพให้แข็งแรงแล้วยังช่วยป้องกันการเสื่อมของหลอดเลือดของเพื่อนๆกันด้วยจ้า ^^

วันศุกร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เริ่มอ่านให้ดี เริ่มที่ ตาข้างไหน ?


สมองคนเราแบ่งการทำงานเป็นสองซีก สำหรับการอ่าน สมองซีกขวาทำหน้าที่เกี่ยวกับการอ่านแบบไม่ออกเสียง ทำให้ช่วยจำข้อมูลต่างๆ ได้มากในเวลารวดเร็ว แต่ก็เป็นการเข้าใจแบบรวมๆ กว้างๆ ส่วนสมองซีกซ้ายจะทำหน้าที่อ่านแบบวิเคราะห์ แบบละเอียดยิบทุกตัวอักษรเลยค่ะ

แล้วดวงตาข้างไหน มาเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้? ในทางประสาทวิทยาเค้าบอกค่ะว่า สัญญาณภาพจากตาซ้ายเกือบร้อยละ 80 จะถูกส่งไปสมองซีกขวา ดังนั้น จึงมีความเป็นไปได้ว่า การอ่านด้วยตาซ้ายจะทำให้เข้าใจแบบกว้างๆ ได้มากกว่า ดังนั้น ถ้าน้องๆ ลองกำหนดสติในการอ่านด้วยตาซ้าย (แต่ไม่ต้องปิดตาขวานะ) อาจช่วยให้สมองซีกขวาทำงานได้ดีขึ้น แต่ถ้าต้องการอ่านแบบละเอียดวิเคราะห์เจาะลึก ก็ลองกำหนดการอ่านด้วยตาตาขวา ก็จะช่วยให้การอ่านมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

แต่คนไหนที่มีปัญหาสายตา ร่างกายจะปรับตัวโดยการใช้สายตาข้างที่ชัดกว่าอยู่ตลอด ทำให้สมองทำงานไม่สมดุล ดังนั้น ชาวเด็กดีก็ควรทำการตรวจวัดสายตาดูด้วยนะคะว่า การมองเห็นของตาทั้งสองข้างเท่ากันหรือเปล่า ถ้ามีปัญหาก็ทำการแก้ไข ใส่แว่น ใส่คอนแทคเลนส์ได้ตามสะดวก จะได้ช่วยให้สมองทำงานได้สมบูรณ์ขึ้นนะคะ

วันอังคารที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

รู้ไหมอ่านหนังสือช่วงไหน"นาทีทอง"


ในทางวิทยาศาสตร์ด้านสมองเค้าบอกว่า การท่องหนังสือในเวลากลางคืนเป็นสิ่งที่ไม่แนะนำค่ะ เพราะว่าเวลากลางคืนเป็นเวลาที่เราควรนอนหลับ ซึ่งการนอนหลับ สมองเราจะมีการจัดระเบียบความทรงจำและบันทึกเรื่องราวต่างๆ ที่เราตื่นนอนจนเราเข้านอนค่ะ ซึ่งการจำอะไรให้มีประสิทธิภาพ ก็จำเป็นต้องนอนให้เพียงพอด้วย
ส่วนเวลาที่เหมาะสมเป็น "นาทีทอง" ในการจำนั่นก็คือ เวลาช่วงเช้านั่นเองค่ะ เพราะการจัดระเบียบความจำเกิดขึ้นตอนที่เรานอนหลับ เพราะฉะนั้นสมองของเราในช่วงเช้าจะปลอดโปร่ง เหมาะสำหรับการใช้งานอย่างเต็มที่ ซึ่งถ้าอ่านหนังสือช่วงนี้ได้ ก็เรียกว่าการจำก็จะมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นค่ะ แถมยังเป็นช่วงที่เหมาะสำหรับงานที่ต้องใช้การสร้างสรรค์หรืองานเขียนต่างๆ อีกด้วยนะ

วันศุกร์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ประวัติเกาะนามิ




เกาะนามิ" ตั้งอยู่ใน เมืองชุนชอน จังหวัดคังวอน เป็นเกาะกลางแม่น้ำ เกาะนามิมีรูปร่างเหมือนใบไม้ลอยน้ำ เป็นเกาะเล็กๆกลางทะเลสาบ เป็นสถานที่โรแมนติคอีกแห่งหนึ่งสำหรับคู่รักหนุ่มสาว WINTER LOVE SONG หรือเพลงรักในสายลมหนาว" ห่างจากกรุงโซลเพียง 63 กิโลเมตร บรรยากาศสวยงามบนเกาะนามิ ที่นี่มีชื่อเสียงโด่งดังทั้งเกาหลีและเอเซีย ณ ที่แห่งนี้ท่านสามารถคารวะสุสานนายพลนามิ ซึ่งเป็นเจ้าของเกาะ เกาะนามิเป็นชื่อของนายพลนามิ ที่รับราชการตั้งแต่อายุ 17 ปี ถูกประหารชีวิตเพราะโตเร็วเกินไปในหน้าที่การงาน
นายพลนามิ เป็นเชื้อพระวงศ์ เพราะพระมารดาเป็นเจ้าฟ้าหญิงองค์ที่ 4 ของกษัตริย์ และพระบิดาเป็นสมาชิกของตระกูลผู้สูงศักดิ์ เกียรติประวัติของนายพลนามิ เป็นที่เลื่องลือตั้งแต่อายุ 17 เมื่อความกล้าหาญของท่านที่แสดงออกในระหว่างการสอบเข้ารับราชการทหาร ผ่านการทดสอบความทรหด โดยสยบใครอื่นได้หมด
ความสามารถของท่านเป็นที่โปรดปรานของกษัตริย์ยิ่งนัก โดยเฉพาะเมื่อท่านนำทัพ 3 หมื่น เข้ากวาดล้างจราจลในแถบอีสานได้อย่างราบคาบ จนได้รับการพระราชทานตำแหน่งอันสูงส่งเทียบเท่ารัฐมนตรีกลาโหมในปัจจุบัน ด้วยวัยเพียง 26 ปีเท่านั้น
หลังจากนั้น ท่านก็นำทัพเข้าปราบปรามชนเผ่าที่แข็งขืนต่างๆ จนสามารถยึดพื้นที่แถบเหนือมาได้ทั้งหมด แต่น่าเสียดายที่ภายหลังการสวรรคตของกษัตริย์ ท่านก็ถูกใส่ความโดยศัตรูทางการเมืองด้วยข้อหากบฎ จึงถูกประหารชีวิต รวมทั้งพระมารดาและพรรคพวกรวม 25 คน ต่อมา เมื่อผลัดเปลี่ยนราชบัลลังค์ ได้มีการพิสูจน์หลักฐานว่า ข้อกล่าวหาทั้งหมดเป็นความเท็จ กษัตริย์พระองค์ใหม่จึงได้คืนยศฐาบรรดาศักดิ์ให้ดังเดิม
เกาะนามิเป็นเกาะที่มีความงดงาม โดยเฉพาะทิวสนที่ยืนต้นเป็นทิวแถวสลับกับไม้พุ่ม ที่ยังคงรักษาความเป็นธรรมชาติอย่างสมบูรณ์ , เช่าจักรยานเที่ยวรอบเกาะ ดื่มด่ำกับธรรมชาติ แมกไม้ ทิวสน ต้นเกาลัดและถ่ายรูปคู่รูปปั้นพระเอกนางเอกของละครเรื่องนี้ อย่าลืมไปเที่ยวกันนะค่ะและคุณจะรู้ว่ามันสวยจริงจริง

วันเสาร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2552

เตือนภัย : ใส่คอนแทคระวังอันตราย


การใส่คอนแทคเลนส์ ทำให้การส่งผ่านออกซิเจนระหว่างอากาศกับกระจกตาดำลดลง (กระจกตาดำต้องการออกซิเจนจากหน้าสัมผัสกับอากาศภายนอกโดยการละลายของออกซิเจนในน้ำตาผ่านเข้าไป) ดังนั้น ผู้ใช้คอนแท็กเลนส์บางคนที่มีการสร้างน้ำตาบกพร่อง (ไม่ว่าจะเป็นในแง่ปริมาณ และ/หรือคุณภาพของน้ำตา) ทำให้การส่งผ่านออกซิเจน-น้ำตา-กระจกตาดำลดลง ซึ่งผลก็คือ กระจกตาดำขาดอากาศหายใจ ทำให้เซลล์เยื่อบุผิวกระจกตาดำซึ่งมีบทบาทในการทำให้กระจกตาดำคงความใสอยู่ได้ตลอดเวลา ลดจำนวนลงไป ภูมิคุ้มกันของตา โดยเฉพาะ บริเวณกระจกตาดำลดลงไป เสี่ยงต่อการติดเชื้อง่ายขึ้น
สำหรับอัตราของผู้ใช้คอนแทคเลนส์ โดยดูแลอย่างถูกต้อง (ไม่ใส่ค้างคืน ไม่ขี้เกียจล้าง) อยู่ที่ ๑:๒๐๐:๑ ปี (ใน ๑ ปี คนใช้คอนแท็กเลนส์ อย่างถูกวิธี ๒๐๐ คน จะมี ๑ คน ที่เกิดการติดเชื้อทั้งที่รุนแรงและไม่รุนแรง)
การใส่คอนแทคเลนส์เมื่อมีการติดเชื้ออย่างอ่อนๆ อาจมีอาการเพียงการคัน ระคายเคือง หรือมีน้ำตาไหลเท่านั้น ทำให้ร่างกายพยายามเอาระบบภูมิคุ้มกันมายังกระจกตาดำ (ซึ่งเป็นอวัยวะที่ไม่มีหลอดเลือดมาเลี้ยงโดยสิ้นเชิง) มากขึ้น หลอดเลือดที่เยื่อบุตาขาวจะขยายตัว ในผู้ที่เกิดการระคายเคืองการแพ้สารที่อยู่ในน้ำยาสารพัดอย่าง มีการขยายตัวของหลอดเลือดนี้ได้บ้างเหมือนกัน บางรายหลอดเลือดถึงกับงอกไปบนกระจกตาดำเลยทีเดียว ในบางประเทศ ทุกคนที่ใส่คอนแทคเลนส์ต้องได้รับการตรวจพื้นฐาน ได้แก่ ความโค้งของกระจกตา (คอนแท็กเลนส์มีหลายความโค้ง การเลือกความโค้งให้เหมาะกับตาแต่ละคนก็เป็นเรื่องสำคัญ) ตรวจคุณภาพน้ำตา และโรคตาที่อาจยังไม่แสดงอาการก่อนที่จะเริ่มใส่คอนแทคเลนส์ และในบางคนอาจได้รับคำแนะนำให้เลือกใช้วิธีแก้ไขสายตาอย่างอื่นแทน ทั้งที่ดูๆ เขาก็เป็นคนปกติ ไม่เคยมีปัญหาเรื่องตามาก่อน แต่พอหันกลับมาดูที่ประเทศไทย คอนแทคเลนส์นั้นหาซื้อได้ง่ายถึงขั้นที่ว่าขายกันอยู่ตีนบันไดทางขึ้น – ลง รถไฟฟ้า วัยรุ่นก็ให้ความนิยมหาซื้อกันมาใส่ ถูกผิดก็ลองๆ กันไป...มีปัญหาค่อยหาหมออีกทีของแบบนี้ไม่ดีเลยนะค่ะ

วันอาทิตย์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2552

5 เรื่องน่ารู้ของไข่ไก่


1. ทำไมไข่ทุกฟองไม่ฟักเป็นตัว
ไข่ที่ผลิตแต่ละฟองจะถูกปล่อยออกมาตามท่อรังไข่อย่างสม่ำเสมอ และแม่ไก่ก็พร้อมจะวางไข่กระบวนการนี้จะดำเนินไปตลอด ไม่ว่าไข่จะมีการปฏิสนธิหรือไม่ก็ตาม นั่นคือเหตุผลที่ไข่ไก่ทุกฟองไม่ฟักเป็นตัว

2. ไข่สุก-ไข่ดิบ อะไรมีประโยชน์กว่ากัน

เราไม่ควรกินไข่ดิบ เพราะในไข่ดิบอาจจะมีเชื้อโรค และไข่ขาวดิบยังย่อยยากอีกด้วย หากเรากินไข่ขาวดิบเข้าไป มันจะผ่านกระเพาะอาหารและลำไส้ไปโดยไม่ได้ย่อย ร่างกายก็ไม่สามารถดูดซึมสารอาหารต่างๆ ได้ หากจะกินไข่ลวกควรลวกให้ไข่ขาวสุกเสียก่อน

3. ช่องวางไข่ในตู้เย็น ทำอายุไข่สั้น
เปลือกไข่มีลักษณะเป็นรูพรุนตลอดทั้งฟอง รูที่เปลือกมีขนาดเล็กมากเราไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ผิวไข่ที่เราเห็นจึงดูเรียบเนียน และเพราะเปลือกมีรูพรุนทำให้ไข่สามารถดูดซึมกลิ่นต่างๆ ได้ง่าย จึงไม่นิยมเก็บไข่ไว้กับอาหารที่มีกลิ่นฉุน อย่างกะปิ น้ำปลา การเก็บไข่ควรเก็บไว้ในตู้เย็นจะเหมาะกว่าเก็บที่อุณหภูมิปกติ และควรใส่ในภาชนะแล้ววางไว้บนชั้นวางธรรมดาดีกว่าใส่ในช่องวางไข่ที่ฝาผนังตู้เย็นซึ่งจะมีอุณหภูมิที่สูงทำให้ไข่เสียเร็วกว่าที่ควร

4. เก็บไข่ควรนำด้านแหลมลง
การวางไข่โดยเอาด้านแหลมลงและให้ด้านป้านอยู่บน ไข่แดงที่มีน้ำหนักเบากว่าไข่ขาว แม้จะพยายามลอยตัวขึ้นบนแต่ก็จะปะทะกับโพรงอากาศที่อยู่ทางด้านป้านไม่ปะทะกับเปลือกไข่ ไข่แดงจึงอยู่กลางใบหากเราเปลี่ยนเอาทางด้านป้านลงไข่แดงจะลอยขึ้นไปติดที่เปลือกไข่ทำให้ไข่แดงแตกง่ายเวลาตอก การเก็บไข่จึงควรนำด้านแหลมลงทุกครั้ง

5. ไข่ไม่ได้เป็นแค่อาหาร
ไข่ขาว นำมาทำเป็นส่วนประกอบของยางบางชนิด ทำสีทาสิ่งของ ทำกาว ทำหมึกพิมพ์ ช่วยย้อมหนัง กำจัดสิวเสี้ยนไข่แดง ทำสบู่ สี แชมพู ตกแต่งหนังสัตว์ บำรุงผิวเปลือกไข่ ทำอาหารสัตว์ ปุ๋ย และนำไปทำสิ่งประดิษฐ์ได้อีกหลายสิบอย่าง
การไม่ทานไข่ อาจส่งผลเสียต่อเส้นประสาทสมองได้ ไข่ฟองเล็กๆ หนึ่งฟอง มีปริมาณวิตามินบี 12ซึ่งจําเป็นต่อการสร้างเยื่อหุ้มป้องกันเส้นใยประสาท นอกจากนี้ไข่ยังดีต่อสายตาคุณ โดยเมื่อไม่นานมานี้มีผลการศึกษาจากอเมริกาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Nutrition ได้ค้นพบว่า การทานไข่อย่างน้อย 3 ฟองต่อสัปดาห์จะช่วยป้องกันภาวะสูญเสียสายตาที่มักเกิดขึ้นเมื่ออายุเพิ่มขึ้นได้ เพราะสารลูทีนและซีแซนทีน ซึ่งเป็นสารรงควัตถุในตระกูลแคโรทีนอยด์ในไข่แดงจะช่วยบํารุงจอประสาทตานั่นเอง
"ไข่เจียว" ถือเป็นยาบํารุงร่างกายได้เลย เพราะนอก จากไข่จะช่วยให้ร่างกายคุณดูดซึมแคลเซียมได้ดีแล้ว ยังช่วยลดปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคกระดูกพรุน แถมปริมาณ สารซีลีเนียมและวิตามินอีในไข่ยังช่วยป้องกันโรคหัวใจ ทั้งยังช่วยป้องกันไม่ให้คุณมีหุ่นกลมเป็นไข่อีกด้วย
ผลวิจัยจากมหาวิทยาลัยหลุยส์เซียนาสเตท พบว่า คนที่ทานมื้อเช้าโดยมีไข่เป็นส่วนประกอบ จะลดน้ำหนักได้มากกว่าคนที่ไม่ทานไข่ในมื้อเช้าได้ถึง65 เปอร์เซ็นต์ เมื่อบริโภคแคลอรี่ในปริมาณที่เท่ากัน
ตามรายงานที่ตีพิมพ์ในวารสาร American Journal of Clinical Nutrution ไข่ที่ให้ผลดีต่อร่างกาย อาจส่งผลร้าย ได้เหมือนกัน ถ้าคุณทานมากกว่า 1 ฟองต่อวัน ติดกันทุกวัน แต่ขณะที่การทานไข่สูงสุด 6 ฟองต่อสัปดาห์ไม่ได้ ทําให้มีอันตรายถึงชีวิต
ในทางตรงกันข้ามการทานไข่ 7 ฟองหรือมากกว่านั้นภายใน 1 สัปดาห์ จะไปเพิ่มปัจจัย เสี่ยงที่ก่อให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้ 23 เปอร์เซ็นต์

วันเสาร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เตือนภัย : วัยรุ่นติดเน็ตอันตราย!!!


อย่างที่เราทราบกันดีนะคะว่า “อินเตอร์เน็ต” นั้นเหมือนดาบสองคม สามารถให้ทั้งคุณอนันต์และโทษมหันต์แก่ผู้ที่ใช้ได้ ขึ้นอยู่กับว่าผู้ใช้นั้นจะมีวิจารณญาณในการใช้ ซึ่งแน่นอนค่ะว่าในช่วงของวัยรุ่นแล้วการใช้อินเตอร์เน็ตนั้นเป็นอีกหนึ่งปัจจัยเสียงที่จะสร้างปัญหาให้กับวัยรุ่นได้
เมื่อเร็วๆ นี้ มีผลสำรวจจากประเทศออสเตรเลียออกมาว่า พ่อแม่ชาวออสเตรเลียนกำลังมีความเป็นห่วงลูกหลาน หลังจากมีข่าวเด็กวัยรุ่น "ฆ่าตัวตาย" เพราะถูกกลั่นแกล้ง รังแก ผ่านทางอินเตอร์เน็ต หรือโทรศัพท์มือถือ


ข่าวเด็กหญิงชาวเมืองเมลเบิร์นวัย 14 ฆ่าตัวตาย และแม่ของเด็กหญิงกล่าวโทษว่าเป็นเพราะลูกสาวถูกคุกคามทางอินเตอร์เน็ต โดยก่อนจะเสียชีวิตลูกสาวได้เล่าให้เธอฟังว่ามี "ข้อความ" ที่เขียนถึงตัวเธอในทางเสียหาย และได้ไปโผล่ในอินเตอร์เน็ต ทำให้เธอเครียดมาก และอยากฆ่าตัวตาย กลายเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้ การข่มเหง รังแกผ่านโลกไซเบอร์ กลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมา และทำให้มีการสำรวจตามโรงเรียนต่างๆ ซึ่งจากผลสำรวจในเด็ก 200,000 คน พบว่ามีอยู่ 10% ที่บอกว่าเคยโดนรังแก รังควานแบบนี้มาแล้ว

สำหรับเหตุการณ์ดังกล่าวมีนักจิตวิทยาหลายคนได้ออกมาให้ความเห็นว่าเด็กๆ ผู้ตกเป็นเหยื่อมีแนวโน้มที่จะมีความเครียด วิตกกังวล และสูญเสียความเชื่อมั่นในตัวเอง อันนำไปสู่ความคิดอยากฆ่าตัวตาย

ส่วนเด็กและวัยรุ่นที่ตกเป็นเหยื่อเล่าว่า การกลั่นแกล้ง รวมทั้งข่าวลือต่าง ๆ เกี่ยวกับพวกเขา มันทำให้เขารู้สึกว่าถูกทำลายชื่อเสียง รู้สึกว่าอาจมีคนไม่ชอบพวกเขา โดยมันทำลายชีวิตเขาทั้งทางสังคม อารมณ์ จิตใจ
นอกจากนี้ในผลสำรวจยังกล่าวว่า หนึ่งในปัญหาใหญ่ที่พบจากการสำรวจครั้งนี้ก็คือ เด็กๆ รู้สึกว่าผู้ใหญ่ไม่ได้มองปัญหาภัยคุกคามทางโลกอินเตอร์เน็ตอย่างซีเรียสจริงจัง

ถือว่าเป็นอีกหนึ่งปัญหาใหญ่ใกล้ตัวที่สร้างอันตรายให้กับวัยรุ่นได้โดยที่ไม่มีใครคาดคิดจริงๆ นะคะ …

วันจันทร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2552

พริก แสบร้อนทำไงดี



อาหารไทยถ้าขาดรสชาติเผ็ดร้อนของ “พริก” ไป ก็อาจจะทำให้อาหารบางชนิดรสชาติไม่อร่อยถึงใจได้ เช่น ต้มยำกุ้ง , ยำ , ส้มตำ เป็นต้น

เกลือช่วยได้!! เกลือที่มีรสชาติเค็มแสนจะเค็มนั้น ให้นำโรยบนมือที่รู้สึกว่าแสบร้อนสักประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ แล้วถูลูบไปมาสักพัก เกลือจะช่วยดูดความแสบร้อนให้หายไปเป็นปลิดทิ้ง

แป้งช่วยได้!! แป้งเด็กที่น้องๆ ชอบทาตัวเวลาอาบน้ำเสร็จนั้นสามารถช่วยได้ โดยให้โรยแป้งไปบนฝ่ามือแล้วลูบไปมาเพียงเท่านี้ความแสบร้อนก็จะหายไป นอกจากจะช่วยให้หายแสบร้อนแล้ว ยังช่วยถนอมผิวและทำให้มือของน้องๆ มีกลิ่นหอมติดมืออีกด้วย


ถังข้าวสารช่วยได้!! โดยน้องๆ จะต้องนำมือที่รู้สึกว่าแสบร้อนจุ่มลงไปในถังข้าวสาร เพราะเมล็ดข้าวสารจะช่วยดูดความแสบร้อนออกไปจากมือ และยังช่วยทำให้มือรู้สึกเย็นสบายอีกด้วย

วันอาทิตย์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ไมเคิล แจ็คสัน


ไมเคิล แจ็กสัน (อังกฤษ: Michael Jackson) มีชื่อเต็มว่า ไมเคิล โจเซฟ แจ็กสัน (Michael Joseph Jackson) หรือเรียกย่อ ๆ ว่า เอ็มเจ (MJ) หรือแจ็กโก้ (Jacko) เกิดเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2501 เป็นนักร้องชาวอเมริกันที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากจนได้รับการขนานนามว่าเป็น ราชาเพลงป็อป หรือ “ King of Pop ”

ไมเคิล แจ็กสัน เริ่มต้นอาชีพนักดนตรีในฐานะนักร้องนำของวง The Jackson 5 เมื่ออายุได้เพียง 7 ปี และได้ออกงานเดี่ยวชิ้นแรกในอัลบั้ม Got to Be There ออกวางจำหน่ายในปี พ.ศ. 2514 ในขณะที่ยังเป็นสมาชิกของวง The Jackson 5 อยู่และมีอายุเพียง 11 ปี ไมเคิล แจ็กสันก็สามารถคว้าอันดับ 1 บนชาร์ตเพลงมาครองได้มากถึง 3 เพลงฮิตแล้ว

ปี พ.ศ. 2522 มีผลงานออกมาชุด “ Off the Wall ” อัลบั้มเปิดตัวที่ทำยอดขายกว่า 20 ล้านก๊อปปี้ทั่วโลกตามด้วยอัลบั้มประวัติศาสตร์ “ Thriller ”(พ.ศ. 2525) ซึ่งเป็นเจ้าของสถิติอัลบั้มที่มียอดขายสูงสุดตลอดกาลถึง 60 ล้านชุด และ “ Bad ” ในปี พ.ศ. 2530 ที่สร้างสถิติอีกครั้งด้วยการเป็นอัลบั้มที่มีซิงเกิ้ลต่าง ๆ ขึ้นถึงอันดับ 1 บิลบอร์ดมากที่สุด

ปี พ.ศ. 2534 ไมเคิลกลับมาพร้อมกับอัลบั้ม “ Dangerous ” ที่มีเพลง “ Black or White ” ติดอันดับ 1 ทั้งในบิลบอร์ดและชาร์ตเพลงทั่วโลก ก่อนที่จะส่งอัลบั้ม “ History ” กับเพลง “ You’re Not Alone ” ซึ่งเป็นซิงเกิ้ลแรกในประวัติศาสตร์ที่ติดอันดับ 1 ตั้งแต่สัปดาห์แรกที่วางจำหน่าย และล่าสุดกับ “ Invincible ” (พ.ศ. 2544) ซึ่งทิ้งห่างจากงานชุดที่แล้วถึง 10 ปีเต็ม

หลังจากว่างเว้นจากการทัวร์คอนเสิร์ตตั้งแต่ปี พ.ศ. 2540 ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2552 ไมเคิลได้ประกาศจัดคอนเสิร์ต ดิส อิส อิท ณ โอทู อารีนา กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ โดยแรกเริ่มจัดเพียง 10 รอบ แต่ด้วยแฟนเพลงที่ให้ความสนใจคอนเสิร์ตนี้เป็นอย่างมาก จึงได้เพิ่มรอบเป็น 50 รอบ ตั้งแต่วันที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2552 ถึง 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

เสียชีวิตเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2552 ที่ UCLA Medical Center, ลอสเองเจลลีส, สหรัฐอเมริกาไมเคิล แจ็กสัน เป็นที่รู้จักของคนไทยส่วนหนึ่งขึ้นมาจากมีชื่อถูกอ้างถึงในเพลง ทับหลัง ของคาราบาว ในปี พ.ศ. 2531 ที่มีเนื้อร้องในท่อนแยกว่า "เอาไมเคิล แจ็กสันคืนไป เอาพระนารายณ์คืนมา" ซึ่งเป็นบทเพลงที่ได้รับความนิยมจากกระแสเรียกร้องทวงคืนทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์จากสหรัฐอเมริกา

เคยเดินทางมาแสดงคอนเสิร์ตในประเทศไทย 2 ครั้ง โดยครั้งแรกในกลางปี พ.ศ. 2536 เป็นการโปรโมตปิดอัลบั้ม Dangerous กำหนดการแสดง 2 รอบ ในวันที่ 21 สิงหาคม และ 22 สิงหาคม ที่สนามศุภชลาศัย โดยทางบริษัท เทโรเอ็นเตอร์เทนเมนต์ เป็นผู้จัด ซึ่งก่อนการแสดงได้มีการโปรโมตทางช่อง 3 เป็นรายการพิเศษเกี่ยวกับไมเคิล แจ็กสัน มี เมทินี กิ่งโพยม เป็นพิธีกร โดยออกอากาศในช่วงเที่ยงของวันเสาร์-อาทิตย์ อยู่นานนับเดือน

คอนเสิร์ตในครั้งนี้เป็นคอนเสิร์ตที่ได้รับความสนใจอย่างท่วมท้นจากชาว ไทย และกลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมอยู่ช่วงหนึ่ง ถึงความเหมาะสมของการจัดแสดง เพราะบางส่วนเห็นท่าเต้นลูบเป้าของไมเคิลไม่เหมาะสมต่อวัฒนธรรมไทยและเมื่อ เดินทางมาถึง ไมเคิลได้แต่งตัวแปลก ๆ เมื่อลงจากเครื่องบินส่วนตัวด้วยผ้าปิดหน้า โดยเจ้าตัวอ้างว่าได้ยินว่ากรุงเทพ ฯ มีควันไอเสียเยอะ ซึ่งส่วนที่ไม่เห็นด้วยกับการแสดงเห็นว่าเป็นการแสดงออกที่ดูถูกประเทศไทย อีกทั้งต้องใช้ไฟฟ้าเป็น จำนวนมากในการแสดง และราคาบัตรที่เข้าชมก็นับว่าแพงมากด้วย คือ 500, 800, 1,000, 1,500 และ 2,500 บาท โดยคอนเสิร์ตวันแรกจบลงด้วยดี แต่ในวันที่ 22 สิงหาคม ไมเคิล อ้างว่าป่วย ขอเลื่อนออกไปเป็นวันที่ 23 สิงหาคม แต่เมื่อมาถึงก็ขอเลื่อนไปอีก สร้างความไม่พอใจแก่แฟน ๆ จนเกิดเป็นจลาจลย่อย ๆ หน้าสนาม

ซึ่งต้องใช้เทปเสียงของเจ้าตัวมาเปิดยืนยันว่าป่วยจริง ๆ ขอเลื่อนไปเป็นวันที่ 24 สิงหาคม อีกที คราวนี้เมื่อถึงวันที่ 24 สิงหาคมจริง ๆ ก็สามารถจัดการแสดงได้และจบลงด้วยดี ซึ่งปรากฏการณ์คอนเสิร์ตในครั้งนี้นับเป็นการแสดงคอนเสิร์ตใหญ่ของนักร้อง ชาวต่างประเทศระดับโลกครั้งแรกของไทย และต่อมาก็ได้มีศิลปิน นักร้องต่างประเทศทยอยเดินทางมาแสดงคอนเสิร์ตในประเทศไทยเรื่อย ๆ ตราบจนปัจจุบัน ซึ่งหลังจากเดินทางออกจากประเทศไทยแล้ว ไมเคิลก็ได้เดินทางต่อไปยังประเทศบรูไน เพื่อเปิดแสดงคอนเสิร์ตที่นั่น โดยมีสุลต่าลบรูไนเป็นผู้จัดและเปิดให้ประชาชนเข้าชมฟรี

ครั้งที่ 2 คือ ในกลางปี พ.ศ. 2538 เป็นการโปรโมตอัลบั้ม History จัดแสดงที่อิมแพ็ค อารีน่า เมืองทองธานี แสดง 2 รอบอีกเช่นเคย แต่ครั้งนี้ไม่ได้รับความสนใจเท่าครั้งแรก

ตำนาน ประวัติ ไมเคิล แจ็คสัน

ไมเคิล แจ็กสัน (อังกฤษ: Michael Jackson) มีชื่อเต็มว่า ไมเคิล โจเซฟ แจ็กสัน (Michael Joseph Jackson) หรือเรียกย่อ ๆ ว่า เอ็มเจ (MJ) หรือแจ็กโก้ (Jacko) เกิดเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2501 เป็นนักร้องชาวอเมริกันที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากจนได้รับการขนานนามว่าเป็น ราชาเพลงป็อป หรือ “ King of Pop ”

ไมเคิล แจ็กสัน เริ่มต้นอาชีพนักดนตรีในฐานะนักร้องนำของวง The Jackson 5 เมื่ออายุได้เพียง 7 ปี และได้ออกงานเดี่ยวชิ้นแรกในอัลบั้ม Got to Be There ออกวางจำหน่ายในปี พ.ศ. 2514 ในขณะที่ยังเป็นสมาชิกของวง The Jackson 5 อยู่และมีอายุเพียง 11 ปี ไมเคิล แจ็กสันก็สามารถคว้าอันดับ 1 บนชาร์ตเพลงมาครองได้มากถึง 3 เพลงฮิตแล้ว

ปี พ.ศ. 2522 มีผลงานออกมาชุด “ Off the Wall ” อัลบั้มเปิดตัวที่ทำยอดขายกว่า 20 ล้านก๊อปปี้ทั่วโลกตามด้วยอัลบั้มประวัติศาสตร์ “ Thriller ”(พ.ศ. 2525) ซึ่งเป็นเจ้าของสถิติอัลบั้มที่มียอดขายสูงสุดตลอดกาลถึง 60 ล้านชุด และ “ Bad ” ในปี พ.ศ. 2530 ที่สร้างสถิติอีกครั้งด้วยการเป็นอัลบั้มที่มีซิงเกิ้ลต่าง ๆ ขึ้นถึงอันดับ 1 บิลบอร์ดมากที่สุด

ปี พ.ศ. 2534 ไมเคิลกลับมาพร้อมกับอัลบั้ม “ Dangerous ” ที่มีเพลง “ Black or White ” ติดอันดับ 1 ทั้งในบิลบอร์ดและชาร์ตเพลงทั่วโลก ก่อนที่จะส่งอัลบั้ม “ History ” กับเพลง “ You’re Not Alone ” ซึ่งเป็นซิงเกิ้ลแรกในประวัติศาสตร์ที่ติดอันดับ 1 ตั้งแต่สัปดาห์แรกที่วางจำหน่าย และล่าสุดกับ “ Invincible ” (พ.ศ. 2544) ซึ่งทิ้งห่างจากงานชุดที่แล้วถึง 10 ปีเต็ม

หลังจากว่างเว้นจากการทัวร์คอนเสิร์ตตั้งแต่ปี พ.ศ. 2540 ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2552 ไมเคิลได้ประกาศจัดคอนเสิร์ต ดิส อิส อิท ณ โอทู อารีนา กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ โดยแรกเริ่มจัดเพียง 10 รอบ แต่ด้วยแฟนเพลงที่ให้ความสนใจคอนเสิร์ตนี้เป็นอย่างมาก จึงได้เพิ่มรอบเป็น 50 รอบ ตั้งแต่วันที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2552 ถึง 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

เสียชีวิตเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2552 ที่ UCLA Medical Center, ลอสเองเจลลีส, สหรัฐอเมริกา


ไมเคิล แจ็กสัน เป็นที่รู้จักของคนไทยส่วนหนึ่งขึ้นมาจากมีชื่อถูกอ้างถึงในเพลง ทับหลัง ของคาราบาว ในปี พ.ศ. 2531 ที่มีเนื้อร้องในท่อนแยกว่า "เอาไมเคิล แจ็กสันคืนไป เอาพระนารายณ์คืนมา" ซึ่งเป็นบทเพลงที่ได้รับความนิยมจากกระแสเรียกร้องทวงคืนทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์จากสหรัฐอเมริกา

เคยเดินทางมาแสดงคอนเสิร์ตในประเทศไทย 2 ครั้ง โดยครั้งแรกในกลางปี พ.ศ. 2536 เป็นการโปรโมตปิดอัลบั้ม Dangerous กำหนดการแสดง 2 รอบ ในวันที่ 21 สิงหาคม และ 22 สิงหาคม ที่สนามศุภชลาศัย โดยทางบริษัท เทโรเอ็นเตอร์เทนเมนต์ เป็นผู้จัด ซึ่งก่อนการแสดงได้มีการโปรโมตทางช่อง 3 เป็นรายการพิเศษเกี่ยวกับไมเคิล แจ็กสัน มี เมทินี กิ่งโพยม เป็นพิธีกร โดยออกอากาศในช่วงเที่ยงของวันเสาร์-อาทิตย์ อยู่นานนับเดือน

คอนเสิร์ตในครั้งนี้เป็นคอนเสิร์ตที่ได้รับความสนใจอย่างท่วมท้นจากชาว ไทย และกลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมอยู่ช่วงหนึ่ง ถึงความเหมาะสมของการจัดแสดง เพราะบางส่วนเห็นท่าเต้นลูบเป้าของไมเคิลไม่เหมาะสมต่อวัฒนธรรมไทยและเมื่อ เดินทางมาถึง ไมเคิลได้แต่งตัวแปลก ๆ เมื่อลงจากเครื่องบินส่วนตัวด้วยผ้าปิดหน้า โดยเจ้าตัวอ้างว่าได้ยินว่ากรุงเทพ ฯ มีควันไอเสียเยอะ ซึ่งส่วนที่ไม่เห็นด้วยกับการแสดงเห็นว่าเป็นการแสดงออกที่ดูถูกประเทศไทย อีกทั้งต้องใช้ไฟฟ้าเป็น จำนวนมากในการแสดง และราคาบัตรที่เข้าชมก็นับว่าแพงมากด้วย คือ 500, 800, 1,000, 1,500 และ 2,500 บาท โดยคอนเสิร์ตวันแรกจบลงด้วยดี แต่ในวันที่ 22 สิงหาคม ไมเคิล อ้างว่าป่วย ขอเลื่อนออกไปเป็นวันที่ 23 สิงหาคม แต่เมื่อมาถึงก็ขอเลื่อนไปอีก สร้างความไม่พอใจแก่แฟน ๆ จนเกิดเป็นจลาจลย่อย ๆ หน้าสนาม

ซึ่งต้องใช้เทปเสียงของเจ้าตัวมาเปิดยืนยันว่าป่วยจริง ๆ ขอเลื่อนไปเป็นวันที่ 24 สิงหาคม อีกที คราวนี้เมื่อถึงวันที่ 24 สิงหาคมจริง ๆ ก็สามารถจัดการแสดงได้และจบลงด้วยดี ซึ่งปรากฏการณ์คอนเสิร์ตในครั้งนี้นับเป็นการแสดงคอนเสิร์ตใหญ่ของนักร้อง ชาวต่างประเทศระดับโลกครั้งแรกของไทย และต่อมาก็ได้มีศิลปิน นักร้องต่างประเทศทยอยเดินทางมาแสดงคอนเสิร์ตในประเทศไทยเรื่อย ๆ ตราบจนปัจจุบัน ซึ่งหลังจากเดินทางออกจากประเทศไทยแล้ว ไมเคิลก็ได้เดินทางต่อไปยังประเทศบรูไน เพื่อเปิดแสดงคอนเสิร์ตที่นั่น โดยมีสุลต่าลบรูไนเป็นผู้จัดและเปิดให้ประชาชนเข้าชมฟรี

ครั้งที่ 2 คือ ในกลางปี พ.ศ. 2538 เป็นการโปรโมตอัลบั้ม History จัดแสดงที่อิมแพ็ค อารีน่า เมืองทองธานี แสดง 2 รอบอีกเช่นเคย แต่ครั้งนี้ไม่ได้รับความสนใจเท่าครั้งแรก


ไมเคิล แจ็กสัน



ในปี พ.ศ. 2542 ไมเคิลได้เผยว่า จะมีการจัดแสดง คอนเสิร์ตรอบพิเศษ โดยจะจัดแสดงทั่วอเมริกาเพียง 10 ที่ ซึ่งตัวไมเคิล เอง อยากจะแสดงและโชว์อีกครั้ง แต่ในการแสดง แต่ในการแสดงอาจจะมีการเปิด เทป ในการแสดงเป็นบางช่วง เพราะตัว ไมเคิล เองอาจร้องไม่ไหว และ การเต้น อาจจะ ไม่สนุก เหมือน ครั้งที่ผ่านมา เพราะ ไมเคิล มีอายุถึง48ปี ในการแสดงครั้งนี้จะเปิดการแสดงในชุด Jackson 5 ซึ่งมีการรวมตัวเหล่าพี่น้องของ ไมเคิล ในการแสดงจะมีเพลง แค่ 16 เพลง ในชุด Jackson 5 จะมี 6 เพลงและเพลงของไมเคิลเอง 10 เพลง คือ You Are Not Alone, Heal the World, Billie Jean, Man in the Mirror, Will You Be There, Black or White, Beat It, Stanger in Moscow, Rock with You และ Bad และจะจัดขึ้นทั่วโลกในปี พ.ศ. 2552 เพียง 9 ประเทศ คือ สหรัฐอเมริกา, สหราชอาณาจักร, ญี่ปุ่น, อิตาลี, เสปน, เกาหลีใต้, ไต้หวัน, ฝรั่งเศส รวมถึงประเทศไทยด้วย ในราคาค่าตัวสำหรับการเดินทางไปแสดงคอนเสิร์ตถึง 20,000,000 ปอนด์ หรือ คิดเป็นเงินไทยก็ประมาณ 650,000,000 บาท คอนเสิร์ตจะจัดขึ้นในประเทศไทยที่ สนามศุภลาศัย ที่จุคนได้ถึง 70,000 คน

โดยคาดว่าค่าบัตรเข้าชมจะมีราคา 1000, 2,000, 3,000, 4,000 บาท โดยประมาณ ในวันที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2551 ไมเคิล แจ๊กสันแล้ว พี่น้องเขาให้สร้างประวัติศาสตร์อีกครั้งเมื่อได้ปรากฏตัวอีกครั้งในรูปแบบ คอนเสิร์ตเต็มที่ และทำให้ นักข่าวตกตะลึง เมื่อ สถานที่แสดง ศิลปินวงอื่น ๆ ยังสามารถ ทำได้เพียง 50,000 คน เท่านั้น แต่ในที่นี้ไมเคิล ได้ทำลายสถิติ ทั้งหมด เพียง1ครั้งเท่านั้น โดยมีผู้ชม ถึง 125,000 คน เลยทีเดียวถือว่า ประวัติศาสตร์ ได้จารึกแล้วเพลง ตำนานที่ไม่ถูกลืมเลยที่เดียว

ไมเคิล แจ็กสัน ถูกมองว่าเป็นซุปเปอร์สตาร์ที่ชอบทำตัวให้เด่นดังและเป็นข่าวอยู่เสมอ ๆ โดยใช้ชีวิตบนความหรูหรา โอเวอร์เกินคนธรรมดา เช่น คฤหาสถ์ส่วนตัวใช้ชื่อว่า "Never Land" โดยตั้งชื่อให้เหมือนกับดินแดนในเทพนิยายเรื่อง ปีเตอร์แพน ซึ่งในนั้นมีเครื่องเล่นเหมือนสวนสนุกอยู่จำนวนมาก อีกทั้งยังชอบเลี้ยงดูอุปถัมภ์เด็ก ๆ จำนวนมากเป็นบุตรบุญธรรม ซึ่งได้มีการตีความทางจิตวิทยาว่า ตัวไมเคิลเองมีนิสัยเหมือนเด็กที่ไม่ยอมโต

นอกจากนั้นไมเคิลยังมีชีวิตที่แปลกพิศดาร เช่น มักแต่งตัวแปลก ๆ อย่างตอนเดินทางมาถึงประเทศไทย ในปี พ.ศ. 2536 หรือเคยมีผู้พบว่าไมเคิลแต่งตัวเป็นผู้หญิงในห้องน้ำหญิงสาธารณะ หรือการที่เปลี่ยนสีผิวตัวเองด้วยวิทยาการทางการแพทย์จากผิวดำให้เป็นขาวซีดอย่างในปัจจุบัน หรือการผ่าตัดศัลยกรรมใบหน้าด้วยซิลิโคนหลายต่อหลายครั้ง

เมื่อต้นปี พ.ศ. 2537 ไมเคิลได้สร้างประหลาดใจให้แก่แฟน ๆ เมื่อจู่ ๆ ประกาศหมั้นและแต่งงานกับ ลิซ่า มารี เพรสลีย์ บุตรสาวของเอลวิส เพรสลีย์อย่างกระทันหัน โดยทั้งคู่ได้ใช้ชีวิตเช่นสามี ภรรยา ก่อนจะเลิกรากันไปในปี พ.ศ. 2539 โดยไม่มีบุตรด้วยกัน (ภายหลังไมเคิลมีบุตร 2 คนจากการผสมเทียมกับเด็บบี้ โรวว์ พยาบาลสาวใหญ่ และมีเพิ่มอีก 1 คนจากสาวผู้ไม่เปิดเผยนาม ด้วยการผสมเทียมเช่นเดียวกัน)

ไมเคิลมีเรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับเด็กมากมาย มักปรากฏข่าวถึงการลวนลามทางเพศกับเด็กผู้ชายเสมอ ๆ โดยเฉพาะในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2548 ไมเคิลต้องขึ้นศาลฟังคำพิพากษาเลยทีเดียว เมื่อมีคดีข่มขืนเด็กผู้ชายคนหนึ่ง ปรากฏว่าศาลพิพากษาให้รอดพ้นไป รวมทั้งเคยอุ้มลูกของตัวเองซึ่งยังเป็นทารกอยู่โดยทำท่าว่าจะทิ้งลงมาจากหน้าต่างโรงแรมที่เจ้าตัวอาศัยอยู่ เพื่อทักทายแฟน ๆ ที่รออยู่ข้างล่าง จนได้รับเสียงตำหนิต่อว่าอย่างหนักจากสังคม เป็นต้น


ยอดผู้ป่วยทั้งในประเทศไทย และทั่วโลกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สร้างความกังวลให้กับทุกคน แต่ว่ายังพอมีข่าวที่ทำให้ใจชื้นได้บ้างเกี่ยวกับไข้หวัด 2009 นี้
โดย นายดิ๊ก ทอมป์สัน โฆษกประจำสำนักงานองค์การอนามัยโลก ยืนยันว่า ไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ใหม่ 2009 ยังคงรักษาได้ด้วยยาทามิฟลู (โอเซลทามิเวียร์) ที่ผลิตโดยบริษัทโรช ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ แม้จะมีรายงานก่อนหน้านี้ว่า มีผู้ป่วยชาวเดนมาร์กรายหนึ่งไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาดังกล่าวนี้ ก็ยังถือว่าเป็นกรณีดื้อยาที่เกิดขึ้นเพียงรายเดียว ยังไม่ส่งผลถึงกับทำให้ องค์การอนามัยโลกต้องเปลี่ยนแปลงคำแนะนำในการเยียวยาอาการของไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ใหม่ 2009 แต่อย่างใด และไม่ได้แสดงให้เห็นว่าภาวะของโรคดังกล่าวในเวลานี้เลวร้ายลงกว่าเดิมเช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม องค์การอนามัยโลกยังคงเตือนให้ทุกฝ่ายต้องระมัดระวังจับตาวิวัฒนาการของไวรัสเอช 1 เอ็น 1 ที่อาจเปลี่ยนแปลงไปได้ทุกเวลา
สถาบันเซรุ่มแห่งรัฐของทางการเดนมาร์กแถลงก่อนหน้านี้ว่า ผู้ป่วยรายดังกล่าวได้รับยาทามิฟลูเข้าไปและไม่ได้แสดงอาการตอบสนองต่อยาใดๆ ทั้งสิ้น ดังนั้น จึงคาดว่าผู้ป่วยรายนี้ติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ใหม่ 2009 ที่กลายพันธุ์เป็นดื้อยาทามิฟลูไปเรียบร้อย อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยรายดังกล่าวยังคงตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาพ่นทางจมูก รีเลนซ่า (ซานามิเวียร์) และหายเป็นปกติดีแล้วในขณะนี้
บริษัทโรช ประกาศในเวลาต่อมาว่า เตรียมเปิดโครงการผลิตและเก็บตุนทามิฟลูไว้ให้เพียงพอสำหรับการใช้ในประเทศกำลังพัฒนาโดยจะจำหน่ายให้ในราคาถูกเป็นพิเศษ ราว 6 ยูโรต่อ 10 แค็ปซูล จากราคาปกติ 12 ยูโรต่อ10 แค็ปซูล (รอยเตอร์/เอเอฟพี)
แม้มีทางรักษา แต่ทางที่ดีที่สุดคือการป้องกันไม่ให้ติดเชื้อไข้หวัด 2009 "กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ" และระวังตัวทุกครั้งเมื่อต้องไปในสถานที่ที่มีคนมากๆ

วันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2552

นักเรียนไทย ทนทุกข์สมองบวม


แวดวงการศึกษาในประเทศไทยยุคนี้ ในส่วนที่เกี่ยวกับ “นักเรียน” นั้นประเด็นคุณภาพกำลังเป็นที่วิพากษ์กันมาก อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ตัวเด็กนักเรียนตกเป็นเป้าจับจ้องมองว่ามีปัญหา ในอีกด้านหนึ่งปัญหาที่เกิดกับเด็กนักเรียนอันเนื่องมาจากผู้ใหญ่ โดยเฉพาะ “ผู้ปกครอง” เป็นสาเหตุ ยังไม่มีการใส่ใจจริงจังนัก...

นักเรียนไทยไม่น้อย...มีปัญหา “เบื่อ-เครียด-ทุกข์”

ตกอยู่ในภาวะที่นักวิชาการเรียกว่า “โรคสมองบวม”

“ดู ๆ แล้วเด็กนักเรียนไทยยังเป็นผู้ถูกกระทำอยู่ตลอด” ...นี่เป็นส่วนหนึ่งจากการระบุของ รศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนาเด็กที่มีความต้องการพิเศษ คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้ซึ่งเปรียบเทียบ และเรียกขานคำว่า “โรคสมองบวม” ในเด็กนักเรียนไทย
ทั้งนี้ ติว เรียนพิเศษ กวดวิชา เป็นปรากฏการณ์ปกติของเด็กนักเรียนไทยยุคนี้ไปแล้ว จะเห็นได้จากการเกิดธุรกิจการศึกษาในลักษณะนี้ผุดขึ้นมากมายทุกมุมเมือง ซึ่งก็มีนักวิชาการชี้ว่านี่เป็นเรื่องของ “ค่านิยม”

เป็นค่านิยมที่ทำให้เด็กไทย “ต้องแข่งขันทางการศึกษา” ตั้งแต่เด็กตั้งแต่เล็ก เพื่อที่ผลการเรียนจะได้ดี จะได้เข้าเรียนต่อในสถานศึกษา ดี ๆ มีชื่อเสียง และก็เชื่อว่าจะทำให้มีโอกาสได้ทำงานดี ๆ ในอนาคต

ถามว่า... นี่เป็นค่านิยมใคร ? นี่เป็นความเชื่อของใคร ? คำตอบก็พุ่งเป้าสู่ “ผู้ปกครอง” ซึ่งแม้การคาดหวังต่อบุตรหลานในลักษณะนี้จะมิใช่เรื่องผิด แต่หากเป็นการคาดหวังที่สูงมากเกินไปจนเกิดเป็นการ “กดดันบุตรหลาน” โดยไม่รู้ว่าเด็กยินยอมพร้อมใจอย่างมีความสุขหรือไม่ ? หรือรู้สึกว่าต้องจำใจเรียนเพราะถูกบังคับจากค่านิยมของผู้ปกครอง เด็กก็ต้องแบกความเชื่อมั่นของผู้ปกครองเอาไว้บนบ่าอย่างสุดหนักอึ้ง !!

ทำให้ตกอยู่ในภาวะที่เรียกว่า “โรคสมองบวม”

“เบื่อ-เครียด-ทุกข์” เพราะค่านิยมผู้ปกครอง ?!?

กับเรื่องนี้ รศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ ขยายความและแจกแจงผ่าน “สกู๊ปหน้า 1 เดลินิวส์” ว่า... ปัจจุบันนี้มีเด็กนักเรียนไทย ยกเว้นอนุบาล และประถมศึกษา เป็นโรคไม่ชอบไปโรงเรียน เป็นโรคเบื่อโรงเรียนจำนวนไม่น้อย เพราะมีทัศนคติต่อการเรียนที่ไม่ดี ขณะที่ปรากฏการณ์การกวดวิชาอาจทำให้คุณค่าการเรียนในห้องเรียนลดลง

“เด็กไปโรงเรียนด้วยความรู้สึกแบบงั้น ๆ

ไปโรงเรียนเพียงเพื่อให้จบไปวัน ๆ เท่านั้นเอง”

ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนาเด็กฯ บอกอีกว่า... “ปรากฏการณ์โรงเรียนเด็กในเมือง มีความรุนแรง มีสภาพสังคมน่าเบื่อมาก น่าเป็นห่วงจริง ๆ ทั้งที่โรงเรียนควรเป็นสถานที่เปิด มีความสนุกสนาน เด็กไปโรงเรียน แล้วได้ไปหาสังคม ไปหาเพื่อน แต่กลับกลายเป็นสถานที่ที่น่าเบื่อหน่าย”

และเมื่อโฟกัสที่การเรียนตามหลักสูตร รศ.ดร.สมพงษ์ ก็บอกว่า... เนื้อหาหลักสูตรของการเรียนทุกวันนี้ โดยรวม ๆ มี 8 กลุ่ม 8 สาระวิชา, 20 วิชาเรียน, 67 มาตรฐาน นักเรียนจะเรียนวันละ 6-7 คาบ ใช้เวลาเรียนคาบละ 35 นาที และเรียนสัปดาห์ละ 35 คาบ แถมยังต้องเรียนกวดวิชาหลังเลิกเรียน หรือเรียนในวันหยุดอีกด้วย

“เรียกว่าเรียนกันเต็มเหยียด เรียกว่าเรียนจนสมองบวม”

นอกจากนี้ เนื้อหาที่สอนก็เพิ่มขึ้นทุกวัน โดยเฉพาะระดับ “มัธยมศึกษา” มีการเรียน-การเร่งเนื้อหากันจนเกินระดับสมองของเด็ก “เน้นเรียนก่อนรู้ก่อนเพื่อการแข่งขันโดยเฉพาะ จนกลายเป็นค่านิยม”

“โรคสมองบวมที่ว่านี้ ทำให้เด็กนักเรียนไทยระดับมัธยมศึกษา ชั้น ม.1-ม.2 ต้องออกจากระบบไปกลางคันถึงประมาณ 400,000 คนแล้ว” ...รศ.ดร.สมพงษ์ระบุ

พร้อมทั้งบอกต่อไปว่า... เรื่องของการปฏิรูปการศึกษาในประเทศต่าง ๆ นั้น ประเทศมาเลเซีย ประเทศนิวซีแลนด์ และประเทศญี่ปุ่น จัดเป็นประเทศที่ได้รับการกล่าวขานว่ามีการปฏิรูปการศึกษาที่ดีที่สุดในโลก ส่วนประเทศไทยที่พูดถึงเรื่องปฏิรูปการศึกษามานานแล้ว แต่ยังติดกลุ่มประเทศที่ปฏิรูปได้แย่อยู่

ทั้งนี้ เด็กนักเรียนไทยเป็นผู้ถูกกระทำมาตลอด เรื่อง “สมองบวม” นั้นมีผลการทดสอบไอคิวเด็กออกมา โดยบางคนก่อนเรียนไอคิว 110 แต่พอเรียน ๆ ไปแล้วกลับเหลือ 97-100 จนกลายเป็น “ยิ่งเรียนยิ่งโง่”

“การเรียนเพื่อการแข่งขันของเด็กไทยนั้น เกิดขึ้นตั้งแต่ระดับอนุบาลฯ เพื่อที่จะสอบเข้าโรงเรียนดี ๆ ได้ ซึ่งโหดร้ายต่อเด็กมาก เด็กบางคนกวดวิชากันเป็นปี ๆ เด็กจึงสมองบวมเกินวัย เพราะทั้งใส่-ทั้งอัดเนื้อหาวิชากันเกินวัย ทำให้การเรียนไม่สนุกสำหรับเด็ก

โรงเรียนกวดวิชาที่ทะลักออกมาทั่วประเทศ นี่ก็เป็นอีกดัชนี ที่ชี้ว่าการปฏิรูปการศึกษาของเรายังผิดทิศผิดทาง เกิดจากค่านิยมที่ผิดเพี้ยนของพ่อแม่ผู้ปกครอง ซึ่งปัญหานี้เป็นสิทธิเด็กอย่างหนึ่ง ที่เด็ก ต้องได้รับการคุ้มครองไม่ให้เกิดปัญหา” ...ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนาเด็กฯ ระบุ

อาจไม่ใช่เด็กนักเรียนไทยส่วนใหญ่...ที่ต้องเผชิญปัญหานี้

แต่ต่อให้มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้น...ก็เป็นเรื่องที่ต้องสนใจ

ผู้ใหญ่ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะพ่อแม่ผู้ปกครอง ต้องใส่ใจ

ว่าเป็น “พ่อแม่รังแกลูกด้วยการเรียน” หรือเปล่า ???.

วันเสาร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2552

สำนวนภาษาฝรั่งเศสน่ารู้

nuit blanche( นุย บลองเชอ )ยามค่ำคืนที่เราไม่นอน
mariage blanc ( มารีอาจ บลองซ์ ) การแต่งงานที่คู่แต่งงาน ไม่ได้คิดจะใช้ชีวิตร่วมกันจริงๆ (เพียงเพื่อได้สัญชาติ ...)



année blanche ( อานเน่ บลองเชอ ) ปีการศึกษา (มหาวิทยาลัย) ที่ไม่นับรวมในหลักสูตร



































Love Sick - F.T. Island

วันอาทิตย์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

จะเลือกแปรงสีฟันแบบไหนดี ?


พ.ต.ท.ทพ.พจนารถ พุ่มประกอบศรี
การทำความสะอาดฟันเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่จะช่วยลดการเกิดฟันผุและโรคเหงือกอักเสบ จากประสบการณ์ของทันตแพทย์ มักจะแนะนำให้ทำความสะอาดฟันด้วยหลักการสากล คือ
1. แปรงฟันทุกครั้งหลังรับประทานอาหาร 2. ใช้เส้นใยในล่อนขัดตามซอกฟันทุกซี่ เพราะแปรงฟันเพียงอย่างเดียวไม่สามารถขจัดเศษอาหารได้หมดจด เป็นเหตุให้มีฟันผุเหงือกอักเสบได้อีก 3. ใช้น้ำยาบ้วนปากช่วยกำจัดเชื้อแบคทีเรียต้นเหตุของฟันผุและเหงือกอักเสบ
หลักใหญ่ๆ ในการทำความสะอาดฟันก็มีอยู่เท่านี้ ซึ่งแปรงสีฟันเป็นอุปกรณ์หลักในการทำความสะอาดฟันและเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวัน
แปรงสีฟันที่จำหน่ายอยู่มีมากมายหลายแบบทั้งที่ผลิตมาถูกต้องตามหลักวิชาการ และผลิตออกมาแบบแฟชั่นเน้นรูปทรงแปลกๆ สีสันสดสวยตามสมัยนิยม ราคาแพงแต่แปรงขจัดคาบอาหารไม่ค่อยได้ผล บางคนเลยนิยมซื้อเก็บสะสมมากกว่าใช้งาน ก็เก๋ไปอีกแบบ เมื่อแปรงสีฟันเป็นสิ่งจำเป็นของชีวิต ตลาดแปรงสีฟันจึงเป็นธุรกิจ ที่มีมูลค่าสูง การแข่งขันทางตลาดและโฆษณาสูงไปด้วย ความสับสนก็มาตกอยู่ที่ผู้ใช้ว่าจะเลือกแปรงชนิดไหนดี เพราะต่างก็บอกว่าเป็นแปรงที่ดีถูกสุขลักษณะเกือบทุกยี่ห้อ
ทีนี้ถ้าจะดูกันละเอียดในส่วนสำคัญที่สุดของแปรงคือ ขนแปรง ในยุคแรกๆ เขาใช้ขนสัตว์มาทำ ที่นิยมมากคือ ขนหมู เริ่มที่ประเทศจีนก่อน ขนแปรงไนล่อน ส่วนเริ่มเข้ามาแพร่หลายเมื่อ 60 ปีที่แล้ว เนื่องจากราคาถูกกว่าและควบคุมมาตรฐานได้ดีกว่า
ในระยะเริ่มแรกของการใช้ขนแปรงไนล่อน ยังไม่มีใครให้ความสำคัญแก่ปลายขนแปรง ขนาดของขนแปรง ตลอดจนความอ่อนหรือความแข็งของขนแปรง จนกระทั่งการค้นคว้าวิจัยของทันตแพทย์หลายคนสรุปตรงกันว่า
1. ปลายขนแปรง จะต้องมีปลายมน 2. ขนาดของขนแปรงควรอยู่ที่ 0.007 นิ้ว 3. ตัวขนแปรงควรมีหลายๆ กลุ่ม (MULTITUFF) 4. ปลายขนแปรงควรวางตัวสูงเรียบๆ เท่าๆ กัน ขนาด ½ นิ้วทุกเส้น การผลิตแปรงสีฟันให้ได้มาตรฐานแบบนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยทีเดียว โดยเฉพาะกฎเกณฑ์ที่ 1 นั้นเป็นเรื่องยากมาก เพราะต้องใช้เทคนิคสูงในการทำให้ปลายขนแปรงมนได้ทุกเส้น ปกติแล้วการมองขนแปรงด้วยตาเปล่ายากที่จะเห็นได้ชัดเจน จนอาจทำให้คุณมองข้ามความสำคัญส่วนนี้ไป ทั้งที่ขอบคมของปลายขนแปรงนั้นสามารถทำอันตรายต่อเหงือกและฟันได้ เพราะปลายขนแปรงจะเป็นเหลี่ยมและขุย
โดยปกติแล้วจะมีอยู่ 3 คำที่มักเห็นติดอยู่ข้างกล่องแปรงที่ขายกันโดยทั่วไป คือคำว่า END ROUNDED หมายถึงปลายขนแปรงที่มน อีกคำคือ MULTITUFF หมายถึงแปรงที่มีกลุ่มหรือกอขนแปรง เพื่อให้มีประสิทธิภาพในการขจัดเศษอาหารได้มากที่สุด อีกคำคือ SOFT หรือแปรงที่มีขนอ่อนขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 0.007 นิ้ว ซึ่งมีอันตรายต่อเหงือกและฟันน้อยที่สุด
แต่จริงแล้วแปรงสีฟันเกือบทุกยี่ห้อจะเขียนไว้ข้างกล่องว่า END ROUNDED, MULTITUFF และ SOFT ทีนี้จะมีประสิทธิภาพดีแค่ไหน ผู้มีหน้าที่ควบคุมมาตรฐานสินค้า โฆษณา และคุ้มครองผู้บริโภคน่าที่จะสำรวจคุณภาพดูว่าเป็นจริงตามที่โฆษณาไว้หรือเปล่า
เมื่อเลือกแปรงดีๆ ได้แล้ว ควรจะใช้แปรงนั้นนานแค่ไหน ? คำตอบ คือไม่สามารถกำหนดได้ เนื่องจากแรงในการแปรงของแต่ละท่านไม่เท่ากัน และขึ้นอยู่กับวิธีแปรงด้วย ถ้าหากปลายขนแปรงปลายบานออก ก็น่าจะเปลี่ยนอันใหม่ได้เลย อย่าประหยัดใช้อยู่เลย เพราะนอกจากไม่สามารถทำความสะอาดได้ดีแล้ว ยังมีผลเสียอันตรายต่อเหงือกและฟัน

วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

ช๊อกโกเเลตให้คุณหรือโทษ


ผู้เชี่ยวชาญบอกว่า ช๊อกโกแล็ตให้คุณหรือโทษ ขึ้นอยู่กับปริมาณที่คุณรับประทานมันเข้าไป เมื่อไม่นานมานี้ มีการรายงานผลการวิจัยเกี่ยวกับการบริโภคช๊อกโกแล็ต ขนมหวานยอดนิยมในช่วงเทศกาลวาเลนไทน์ ที่ว่า ช๊อกโกแล็ตนั้น มีสาร antioxidant เป็นส่วนประกอบสำคัญ ทำให้ดูเหมือนว่า ช๊อกโกแล็ตเป็นอาหารเสริมสุขภาพ เสียมากกว่าจะเป็นของหวานทำลายสุขภาพ ซึ่งก็จริงอยู่ที่ว่า ช๊อกโกแล็ตนั้นมีส่วนช่วยป้องกันความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ หรือแม้กระทั่งมีคุณประโยชน์ในการป้องกันมะเร็งบางชนิดได้ แต่ถ้าหากรับประทานในปริมาณที่มากเกินไปแล้วละก็ จะทำให้มีปัญหาเรื่องน้ำหนักเกิน อันเป็นสาเหตุของโรคร้ายอีกหลายชนิด
จากรายงานล่าสุดของ American Journal of Clinical Nutrition ระบุว่า ประโยชน์ที่จะได้รับจากการรับประทานช๊อกโกแล็ตนั้น จะมีความสัมพันธ์กับการได้รับปริมาณ ช๊อกโกแล็ตและโกโก้เพียงเล็กน้อย โดยเมื่อเรารับประทานช๊อกโกแล็ตดำประมาณครึ่งออนซ์ หรือแป้งโกโก้ที่ไม่ใส่น้ำตาล 1 ใน 4 ช้อนโต๊ะ ความสามารถในการ antioxidant ของร่างกายจะเพิ่มขึ้นประมาณ 4 เปอร์เซ็นต์ และ LDL ซึ่งเป็น bad cholesterol ก็จะลดลงด้วย โดย antioxidant นั้นเป็นกระบวนการสำคัญที่ช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจ ทั้งโกโก้ และช๊อกโกแล็ต มีส่วนประกอบสำคัญเรียกว่าFlavonoid ซึ่งพบได้ในผักและชา Flavonoid นี้ สามารถป้องกันเซลของร่างกายไม่ให้ทำปฏิกริยากับอณูที่เรียกว่า Free Radical ซึ่งเป็นตัวการในการของโรคหัวใจและการก่อให้เกิดเซลมะเร็ง นอกจากนี้ ยังมีรายงานของ Journal of Agricultural and Food Chemistry ที่ระบุว่าสาร Antioxidant ของโกโก้นั้น ให้ผลไม่ต่างจากชาดำและชาเขียว ในขณะเดียวกันบทความใน Experimental Biology and Medicine ก็ระบุว่า สาร Antioxidant ในโกโก้ และช็อกโกแลต ยังสามารถป้องกันเซลจากความเสียหาย อันจะเป็นจุดเริ่มต้นของกระบวนการพัฒนาเซลมะเร็ง อีกทั้งส่วนประกอบในโกโก้ ยังสามารถสกัดกั้นการเติบโตของเซลมะเร็งลำไส้ ในร่างกายมนุษย์ได้ด้วย
ผลไม้อาจจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
ช๊อกโกแลต มีส่วนประกอบที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย เช่นเดียวกับที่ในผักและผลไม้มี แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า มันควรจะเป็น 1 ในอาหารหลัก 5 หมู่ที่เราควรรับประทานทุกวัน การรับประทานช๊อกโกแล็กเพียงเล็กน้อย อาจทำให้คุณค่า แต่แน่นอนว่า ต้องไม่ใช่การบริโภคอย่างหิวโหยในเมื่อช๊อกโกแลต และผลไม้ ต่างให้ประโยชน์ในเชิง Phytochemical ที่เหมือนกัน แน่นอนว่าผลไม้ย่อมเป็นทางเลือกที่ดีกว่า เพราะคุณสามารถรับประทานได้ในปริมาณมาก ทั้งยังไม่ต้องกังวลเรื่อง calory และไขมัน และแม้ว่าในช๊อกโกแล็ตและโกโก้ จะมี Flavonoid แต่มีนก็ไม่ได้มี Fiber รวมทั้งวิตามินสำคัญ ๆ อย่างเช่นวิตามิน C ส่วนไขมันบางอย่างที่มีอยู่ในช๊อกโกแลตนั้น แม้จะไม่ทำให้เกิด Cholesterol แต่อาหารที่มักจะมีส่วนผสมของชีอกโกแลต กลับกลายเป็นต้นเหตุ ไม่ว่าจะเป็นไอศครีมช๊อกโกแลต เค๊กช๊อกโกแลต หรืออาหารอื่น ๆ สำหรับผู้ที่ต้องการจะรับประทานช๊อกโกแลต เพื่อหวังคุณค่าต่อร่างกาย สิ่งที่สำคัญที่ต้องคำนึงถึงเสมอก็คือ การรับประทานในปริมาณน้อย คือเพียงแค่ ก้อนชอคโกแลตก้อนเล็ก ๆ สองสามก้อน และรับประทานช้า ๆ เพื่อรับรสที่แสนอร่อยของมัน แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว

วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

L Amourเสน่ห์แห่งกาลเวลาจากปิแอร์ การ์แดง

บริษัท สหกรุงทอง เทรดดิ้ง จำกัด ผู้นำเข้านาฬิกาคุณภาพจากฝรั่งเศส เปิดตัวนาฬิกาอีกหนึ่งดีไซน์แห่งความงดงามและคลาสสิก ในคอลเลคชั่นนาฬิกาเพื่อสตรีผู้มีเสน่ห์ “ล-อะมูร” (L’ Amour) จาก “ปิแอร์ การ์แดง” นาฬิการุ่นนี้สวยสมเป็นผู้นำแห่งวงการแฟชั่นในฝรั่งเศส ด้วยหน้าปัดนาฬิการูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส มีตัวเลขบอกชั่วโมงเป็นเลขโรมันคละขนาดเรียงกันเป็นโลโก้ตัวอักษร “P” ของ Pierre Cardin บนหน้าปัดเหลือบสีรุ้ง ฟังก์ชั่นสองเข็มนาฬิกาบอกชั่วโมงและนาที ที่รอบขอบหน้าปัดสี่เหลี่ยมมีทั้งที่ทำจากสตีลและทอง 18 กะรัต หัวร้อยสายประดับด้วยคริสตัลแวววาว 94 เม็ด สายนาฬิกาทำจากหนังอย่างดีมีให้เลือกสามสี คือ สีชมพู สีขาวนวล และสีเทา ถูกใจนักสะสมนาฬิกาแฟชั่น เที่ยงตรงและบางเบาด้วยกลไกระบบควอทซ์ กันรอยขีดข่วนด้วยกระจกหน้าปัดคริสตัลแซฟไฟร์ และกันน้ำลึกถึง 30 เมตร เป็นเจ้าของได้แล้ววันนี้ที่เคาน์เตอร์นาฬิกาชั้นนำของห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล โรบินสัน และเดอะ มอลล์ามในคอลเลคชั่นนาฬิกาเ การ์แดง” นาฬิการุ่นนี้สวยสมเป็นผู้นำแห่งวงการแฟชั่นในฝรั่งเศส ด้วยหน้าปัดนาฬิการูปสี่เหลี่ยมจัส มีตัวเลขบอกชั่วโมงเป็นเลขโรมันคละขนาดเรียงกันเป็นโลโก้ตัวอักษร “P” ของ Pierre Cardin บนหน้าปัดเหลือบสีรุ้ง ฟังก์ชั่นสองเข็มนาฬิกาบอกชั่วโมงและนาที ที่รอบขอบหน้าปัดสี่เหลี่ยมมีทั้งที่ทำจากสตีลและทอง 18 กะรัต หัวร้อยสายประดับด้วยคริสตัลแวววาว 94 เม็ด สายนาฬิกาทำจากหนังอย่างดีมีให้เลือกสามสี คือ สีชมพู สีขาวนวล และสีเทา ถูกใจนักสะสมนาฬิกาแฟชั่น เที่ยงตรงและบางเบาด้วยกลไกระบบควอทซ์ กันรอยขีดข่วนด้วยกระจกหน้าปัดคริสตัลแซฟไฟร์ และกันน้ำลึกถึง 30 เมตร เป็นเจ้าของได้แล้ววันนี้ที่เคาน์เตอร์นาฬิกาชั้นนำของห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล โรบินสัน และเดอะ มอลล์

วันเสาร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

เทคนิคเล็กๆ น้อยๆ ช่วยตัดสินใจในการเลือกคณะ



วิธีการเลือกคณะนั้น มีอยู่หลากหลายวิธีตามความชอบของแต่ละบุคคล ตามความสนใจ ซึ่งขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆอย่างดังนี้
- สายที่เรียนมา เรียนสายวิทย์-คณิต ศิลป์-คำนวณ หรือศิลป์-ภาษา
จริงอยู่ที่ว่าระบบAdmissions ไม่มีการกำหนดว่าคณะนี้ต้องเป็นสายวิทย์สมัครเท่านั้น ไม่มีกฏเกณฑ์ตายตัวเลยค่ะ แต่มันขึ้นอยู่กับวิชาที่เราเรียนมาตอนม.ปลาย สมมติว่าเรียนสายศิลป์ เรียนวิทยาศาสตร์ สัปดาห์ละ 3 คาบ ในขณะที่สายวิทย์เรียน 9-12 (มากกว่า 2-3 รายวิชา แถมยังใช้เวลาเรียนมากกว่า 3-4 เท่าเชียวนะ) ในเมื่อคุณรู้ว่าสายศิลป์เรียนวิทยาศาสตร์แค่พื้นฐานเพื่อนำไปสอบO-Net เท่านั้น!!! แต่ถ้าไปเลือกคณะที่ต้องสอบA-Net ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ ด้วยละก็คงเป็นไปได้ยาก เพราะA-Net จะสอบเนื้อหาลึกกว่าของO-Net และสายศิลป์คงไม่ได้เรียนมาลึกขนาดนั้น
- ความชอบส่วนบุคคล
เราต้องใช้ความชอบ ความสนใจ ส่วนตัวค่ะ อย่าตามเพื่อน อย่าตามแฟนเพราะแค่ที่จะได้อยู่คณะเดียวกัน เชื่อเถอะค่ะ ว่าถ้าเราเลือกตามพวกเค้าเหล่านั้นไป นอกจากจะเรียนไม่ไหว เพราะไม่ใช่สิ่งที่เราอยากเรียน ก็จะยังไม่ได้อยู่กับเพื่อน หรือกับแฟนอย่างที่คิดนะคะ อยู่ในรั้วมหาลัย สังคมโตขึ้น ตัวเราโตขึ้น ต่างคนต่างมีความคิดเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น เพราะฉะนั้นเมื่อเราอยู่ในสังคมใหม่ๆ เพื่อนเราตั้งแต่สมัยมัธยม ก็มีสิทธิ์ที่จะไขว้เขว ไปอยู่กับอีกกลุ่มหนึ่ง หรือแยกจากเราเป็นการถาวรเลยก็ได้ จงจำไว้ว่าเพื่อนสมัยมหา’ลัย จริงใจด้วยน้อยที่สุดในบรรดาเพื่อนที่เราเคยคบมาตั้งแต่อนุบาลนะคะ
ในเมื่อเราชอบอะไร ค้นพบตัวเองให้เจอนะคะ แล้วทำตามฝัน บางคนก็เป็นเหมือนกับซ่าครอบครัวอยากให้เรียนอีกอย่าง ในสิ่งที่เราไม่ชอบ ในสิ่งที่เราไม่ได้สนใจ จนเรากลายเป็นเหมือนตุ๊กตาที่คนเล่นคอยจับแต่งตัวตามใจเขา ไม่สนเลยว่าเสื้อผ้า เข้ากับรูปร่างหรือไม่ ถ้าเปรียบเทียบคนเล่นตุ๊กตาก็คือพ่อแม่นั่นแหละ คอยยัดเยียดให้ตุ๊กตาซึ่งก็คือตัวเรา ให้ใส่เสื้อแบบนั้น แบบนี้ เราก็เป็นมนุษย์นะคะ มีความรู้สึก มีความพอใจ และมีความไม่พอใจ ถ้าบังเอิญว่าคณะที่เราอยากเข้ากับคณะที่พ่อแม่หวังให้เข้า เป็นคณะเดียวกัน ก็โชคดีไปค่ะ ไม่มีปัญหา แต่ถ้ามันใกล้เคียงก็ต้องเจรจาค่ะ ตกลงกันว่าจะเอายังไง อธิบายเหตุผลค่ะ ว่าทำไมอยากเรียนคณะนี้ แต่ปัญหาสุดท้ายคือคณะที่แตกต่างกันสุดขั้ว พ่อ-แม่อยากให้เรียนแพทยศาสตร์ ลูกอยากเรียนศิลปกรรมอะไรแบบนี้ ไม่ขัดใจพ่อแม่ ก็ต้องตามใจพ่อแม่แล้วล่ะค่ะ จริงๆแล้วถ้าตามใจก็ดีนะคะ เป็นลูกกตัญญู เพราะพ่อแม่ก็อยากเห็นความสำเร็จของเรา ไม่มีพ่อแม่คนไหนจะยัดเยียดสิ่งที่ไม่ดีให้แก่ลูกหรอกค่ะ พ่อแม่มีแต่หวังดี แต่ถ้าจะให้ซ่าสรุป ถ้าเป็นซ่าต้องของอกตัญญูสักครั้งค่ะ บอกเหตุผลท่านไปว่า...