วันศุกร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ตำนานวันคริสต์มาส


ตำนานวันคริสต์มาส

คำว่า "คริสต์มาส" เป็นคำทับศัพท์ภาษาอังกฤษว่า Christmas มาจากคำภาษาอังกฤษโบราณว่า Christes Maesse ที่แปลว่า "บูชามิสซาของพระคริสตเจ้า" ซึ่งพบครั้งแรกในเอกสารโบราณที่เป็นภาษาอังกฤษในปี ค.ศ. 1038 และในปัจจุบันคำนี้ก็ได้เปลี่ยนมาเป็นคำว่า Christmas

เทศกาล Christmas หรือ X’Mas ตรงกับวันที่ 25 ธันวาคมของทุกปี ซึ่งวันที่ 25 ธันวาคมนั้นเป็นวันประสูติของพระเยซู ศาสดาแห่งศาสนาคริสต์ โดยพระองค์ประสูติที่เมืองเบ็ธเลเฮ็มและเติบโตที่เมืองนาซาเรท ซึ่งปัจจุบันคือประเทศอิสราเอล ตามหลักฐานในพระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ว่า พระเยซูเจ้าประสูติในสมัยที่จักรพรรดิซีซาร์ ออกุสตุส แห่งจักรวรรดิโรมัน ซึ่งทรงสั่งให้จดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งแผ่นดิน โดยฝ่ายคีรีนิอัส เจ้าเมืองซีเรียก็รับนโยบายไปปฏิบัติให้มีการจดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งอาณาเขต แต่ในพระคัมภีร์ ไม่ได้ระบุว่า พระเยซูประสูติวันหรือเดือนอะไร
ด้านนักประวัติศาสตร์ก็มีความเห็นที่ต่างออกไปโดยได้วิเคราะห์ว่า เดิมทีวันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันที่จักรพรรดิเอาเรเลียนแห่งโรมัน กำหนดให้เป็นวันฉลองวันเกิดของสุริยะเทพ ตั้งแต่ปี ค.ศ.274 ชาวโรมันซึ่งส่วนใหญ่นับถือเทพเจ้าฉลองวันนี้เสมือนว่า เป็นวันฉลองของพระจักรพรรดิไปในตัวด้วย เพราะจักรพรรดิก็เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ ที่ให้ความสว่างแก่ชีวิตมนุษย์ แต่ชาวคริสต์ที่อยู่ในจักรวรรดิโรมัน รวมถึงชาวโรมันที่เปลี่ยนไปนับถือคริสต์อึดอัดใจที่จะฉลองวันเกิดของสุริยเทพ จึงหันมาฉลองการบังเกิดของพระเยซูซึ่งเปรียบเสมือนความสว่างของโลก และเหมือนดวงจันทร์เป็นความสว่างในตอนกลางคืนแทน หลังจากที่ชาวคริสต์ถูกควบคุมเสรีภาพทางศาสนาตั้งแต่ปี ค.ศ. 64-313 จนถึงวันที่ 25 ธันวาคม ปี ค.ศ.330 ชาวคริสต์จึงเริ่มฉลองคริสต์มาสอย่างเป็นทางการและเปิดเผย

เทศกาลคริสต์มาสจึงเป็นวันแห่งการเฉลิมฉลองวันประสูติของพระเยซู และเป็นการฉลองความรักที่พระเจ้ามีต่อมนุษย์โลก โดยส่งบุตรชาย คือ "พระเยซู" ลงมาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อช่วยไถ่บาป และช่วยให้มนุษย์รอดพ้นจากการทำชั่วนั่นเอง ดังนั้นในวันนี้ถือเป็นวันที่มีความหมายสำคัญชาวคริสต์ทั่วโลก และมีการส่งบัตรอวยพร ให้ของขวัญ แก่กันและกัน รวมทั้งประดับประดาตกแต่งบ้านเรือนด้วยแสงไฟ และต้นคริสต์มาสอย่างสวยงาม

วันศุกร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

เคล็ดลับ 13 ประการ เพื่อการเรียนอย่างมีประสิทธิภาพ


วันนี้เรามีเคล็ดลับดีๆ มาฝากเพื่อเป็นแนวทางในการเรียนอย่างมีประสิทธิภาพ เคล็ดลับทั้ง 13 ประการนี้เป็นข้อแนะนำง่ายๆ ที่ท่านสามารถนำมาปฏิบัติกับตัวเองได้เลยลองศึกษาดูซิว่า มีข้อให้ไหนบ้างที่ตรงกับตัวท่านหรือข้อไหนที่เรามีอยู่ในตัวเราแล้วไม่ต้องปรับมาก.....

1. รับผิดชอบ รับผิดชอบตนเอง ไม่ยืมจมูกคนอื่นหายใจ เป็นผู้ชนะจากความสามารถของตน

2 เริ่มต้นดี ช่วงเดือนแรกในรั้วมหาวิทยาลัย ถือเป็นช่วงวิกฤตของน้องใหม่ หากเริ่มต้นดี ความสำเร็วจะไม่อยู่ไกลเกินเอื้อม

3 กำหนดเป้าหมายในการเรียนอย่างแน่วแน่ กำหนดเป้าหมายในการเรียนให้ชัดเจน ทั้งระยะสั้นและระยะยาว และทุ่มเทความพยายามให้บรรลุเป้าหมายนั้น

4 วางแผนและจัดการ มีการวางแผน จัดลำดับความสำคัญของกิจกรรมที่ต้องทำ หากทำตารางเวลาเป็นรายสัปดาห์ได้ยิ่งดี

5 มีวินัยต่อตนเอง เมื่อกำหนดเป้าหมาย วางแผน และจัดการ ตามข้อ 4 และ 5 แล้วต้องสัญญากับตนเองอย่างแน่วแน่ที่จะมีวินัย และปฏิบัติตาม

6 อย่าล้าสมัย วิทยาการพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว การค้นคว้าหาความรู้ ต้องอิงกับข้อมูลที่ทันสมัย ทันเหตุการณ์

7 ฝึกฝนตนเองให้เรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ ศึกษาข้อเสนอแนะในคู่มือเล่มนี้ และฝึกทักษะการเรียนรู้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ติดตัวตลอดไป

8 เตรียมพร้อมเพื่อเข้าสู่ชั้นเรียน เตรียมตัวเป็นผู้ใฝ่หาความรู้อย่างแข็งขัน หากเป็นไปได้เตรียมอ่านเอกสารที่จะเรียนมาก่อนเข้าห้องเรียน

9 มุ่งมั่น จดจ่อต่อบทเรียน มีสมาธิ สนใจ ตั้งใจ เวลาอาจารย์สอน ไม่เข้าเรียนเพื่อพูดคุยกัน ซังกะตาม รอเวลาเลิกชั้น

10 เป็นตัวของตัวเอง รู้จักคิดและทำ ด้วยความสามารถของตนเองคิดเสมอว่าเราเป็นผู้หนึ่งที่มีศักยภาพสูง

11 มีความกระตือรือล้น ความสำเร็จเป็นของผู้ที่มีความริเริ่ม เป็นฝ่ายรุกที่จะมุ่งหน้า และคว้าความสำเร็จเป็นของตน

12 มีสุขภาพดี อย่าลืมใส่ใจต่อสุขภาพร่างกาย กิจกรรมนันทนาการ และกิจกรรมสังคม วางแผนจัดเวลาต่อสิ่งเหล่านี้ให้พอเหมาะ

13 เรียนอย่างมีความสุข พยายามเก็บเกี่ยวความน่าสนใจในบทเรียน คิดเสมอว่าทุกวิชาน่าเรียนรู้ น่าสนุกทั้งนั้น แล้วท่านจะพบว่า เราก็เรียนอย่างมีความสุขได้

วันพุธที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

โยคะร้อนปรับสมดุลร่างกาย


เดี๋ยวนี้ส่วนหนึ่งของกิจกรรมยามว่างที่สาวๆ สนใจ มักจะเป็นกิจกรรมที่มีเรื่องของการดูแลสุขภาพเข้ามาเกี่ยวข้อง … “โยคะ” ร้อนก็เป็นอีกกิจกรรมหนึ่งที่เป็นวัฒนาการของศาสตร์แห่งโยคะ ที่ตอนนี้กำลังเป็นที่นิยมอย่างมากเลยทีเดียวล่ะค่ะ
หลายคนอาจจะรู้จักแต่การเล่นโยคะธรรมดา แต่โยคะร้อนนั้นมีอะไรที่พิเศษกว่านั้นค่ะ การเล่นโยคะร้อนนั้น ประกอบด้วยท่าหลักทั้งหมด 26 ท่า ผู้ฝึกจะฝึกในห้องที่มีอุณหภูมิสูงใกล้เคียงกับอุณหภูมิภายในร่างกาย ประมาณ 36-37 องศาเซลเซียส ซึ่งจะทำให้กล้ามเนื้อยืดหยุ่น ได้มากกว่า อุณหภูมิปกติ ท่าต่างๆของโยคะร้อน จะช่วยกระชับกล้ามเนื้อในส่วนต่างๆ ของร่างกาย ทำให้ช่วยลดปัญหาการปวดหลังและคอ รวมทั้งทำให้ระบบไกลเวียนของโลหิตดีขึ้น อุณหภูมิที่สูงยังทำให้ร่างกายสามารถกำจัดของเสียออกมาในรูปเหงื่อได้เป็นอย่างดี จึงเป็นปัจจัย หลักที่ทำให้น้ำหนักลด และ ทำให้รู้สึกสดชื่นหลังการฝึกอีกด้วยล่ะค่ะ แหมได้ฟังแค่นี้สาวๆ ก็เริ่มสนใจแล้วใช่รึเปล่าล่ะค่ะ
แล้วทำไมต้องเรียกว่าโยคะร้อนด้วยล่ะ? … ที่ต้องเรียกว่าโยคะร้อนก็เพราะว่า ในการล่นโยคะร้อนจะต้องเล่นอยู่ในห้องที่มีอุณหภูมิห้องประมาณ 36-37 องศาเซลเซียส ซึ่งการเล่นโยคะร้อนในห้องร้อนนี้จะทำให้กล้ามเนื้อยืดหยุ่นได้มากกว่าในอุณหภูมิปกติ ท่าต่าง ๆ จะช่วยกระชับกล้ามเนื้อในส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ลดปัญหาการปวดหลังและคอ ทำให้ระบบการไหลเวียนของเลือดดีขึ้น นอกจากนี้อุณหภูมิที่สูงยังช่วยให้ร่างกายสามารถกำจัดของเสียออกมาในรูปเหงื่อได้เป็นอย่างดีอีกด้วยล่ะค่ะ
และถ้าสาวๆ อยากจะเล่นโยคะร้อนล่ะก็ ก่อนเล่นสาวๆ ควรจะต้องรู้ว่า ...
1. ต้องปรับความเข้าใจก่อนนะคะว่า การฝึกโยคะ จะต้องทำเท่าที่เราทำได้ อย่าพยายามฝืน ควรเริ่มทำช้าๆ ก่อน เพราะจะได้รับรู้ว่าตรงไหนตึง ตรงไหนเจ็บ หากทำเร็วๆ กระชากแรงๆ โดยที่ไม่รู้ว่ากล้ามเนื้อของเรายืดได้มากน้อยแค่ไหน อาจเกิดอาการเคล็ดขัดยอกขึ้นได้
2. ก่อนฝึกควรกินอาหารมาก่อนอย่างน้อย 3 ชั่วโมง เพราะการฝึกโยคะร้อนต้องมีการขยับตัวแน่นอน ซึ่งถ้าหากกินอาหารแล้วมาฝึกโยคะเลย จะทำให้รู้สึกอึดอัด เวลาพับตัวท้องจะถูกกด อาจทำให้เกิดอาการหน้ามืด มึนหัว
3. ระหว่างวันควรดื่มน้ำให้เยอะ เพราะการฝึกโยคะร้อน ร่างกายจะเสียเหงื่อมาก อีกทั้งการดื่มน้ำเยอะๆ จะช่วยป้องกันการเป็นตะคริวได้ด้วย
เมื่อได้เล่นโยคะร้อนแล้ว สิ่งที่สาวๆ จะได้รับก็คือ ... เมื่อฝึกโยคะอย่างสม่ำเสมอ ร่างกายจะมีการปรับสมดุลให้ดีขึ้น อย่างเช่น จะมีการปรับสมดุลในเรื่องของเลือด เลือดจะไหลเวียนได้ดีขึ้น ส่งผลให้เมตาบอลิซึ่มดีขึ้น ทำให้ร่างกายไม่อ้วน หุ่นดี นอกจากนี้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง การฝึกโยคะร้อนก็คือการออกกำลังกาย จะมีเหงื่อออกมากขึ้น เกิดการขับถ่ายของเสียออกมาทางผิวหนัง ทำให้ผิวพรรณสดใสเปล่งปลั่งขึ้นตามลำดับ

วันอังคารที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2553

โทรศัพท์มือถือ...อันตราย?


ปัจจุบันโทรศัพท์มือถือได้รับความนิยมเพิ่มสูงขึ้น จนกลายเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักของการดำเนินชีวิต บางคนออกจากบ้านแล้วถ้าลืมโทรศัพท์มือถือยังต้องย้อนกลับไปเอา แต่มีความเชื่อเกี่ยวกับการใช้โทรศัพท์มือถือว่า การคุยโทรศัพท์มือถือนานๆ จะเกิดอันตรายกับผู้ใช้ ซึ่งความเชื่อที่ว่านี้เป็นความจริงหรือไม่
ศ.ดร. วิโรจน์ ตันตราภรณ์ ที่ปรึกษาสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี อธิบายว่าคลื่นไมโครเวฟในโทรศัพท์มือถือนั้นเป็นคลื่นแบบเดียวกับคลื่นแสง ซึ่งคลื่นไมโครเวฟเดินทางเร็วมาก โดยเดินทางด้วยความเร็ว 10 ยกกำลังสิบ เซนติเมตร ภายในเวลา 1 วินาที คลื่นไมโครเวฟเป็นคลื่นที่มีความยาวคลื่นประมาณ 1 คืบ คืออยู่ระหว่าง 1-2 คืบซึ่งขึ้นอยู่กับความถี่ของคลื่น เช่น คลื่นแสง มีความยาวคลื่นประมาณเศษหนึ่งส่วนพันเซนติเมตร คลื่นแสงจึงมีความยาวคลื่นสั้นมาก แต่คลื่นไมโครเวฟเป็นคลื่นที่มีความยาวคลื่นมากกว่าคลื่นแสง
หากถามว่าคลื่นไมโครเวฟจะทำให้เกิดอันตรายต่อมนุษย์ได้หรือไม่นั้น คำตอบคือไม่ได้ คลื่นไมโครเวฟจะสามารถทำอันตรายให้กับมนุษย์ได้ในกรณ๊ที่เซลล์ในร่างกายของเราต้องมีขนาดหนึ่งส่วนพันเซนติเมตร หรือมีขนาดเศษหนึ่งส่วนร้อย ซึ่งต้องเป็นเซลล์ที่มีขนาดเล็กมากๆ เมื่อเทียบกับคลื่นไมโครเวฟ สมมุติถ้าเราเดินอยู่บนท้องถนน เราจะมองไม่เห็นมด และเดินผ่านมดไป นอกจากมดจะมีเต็มถนนจึงจะทำให้เราเหยียบมดตายได้ ในกรณีของคลื่นไมโครเวฟก็เช่นเดียวกันถ้ามีคลื่นไมโครเวฟเคลื่อนที่ผ่านเรา เราก็จะไม่รู้สึกอะไร และในกรณีของคลื่นไมโครเวฟที่อยู่ในโทรศัพท์มือถือนั้น ถึงแม้ว่าจะอยู่ใกล้ตัวเรามากๆ ก็ไม่สามารถที่จะทำอันตรายใดๆ กับเราได้เลย

วันพฤหัสบดีที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2553

จัดการหัวเข่าให้เนียนสวย


ก่อนอื่นเรามาดูกันดีกว่านะคะว่า สาเหตุของอาการหัวเข่าด้านนั้นเกิดขึ้นจากอะไรบ้าง … สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากว่าที่ผิวหนังบริเวณหัวเข่ามีต่อมน้ำมันอยู่น้อย จึงทำให้ผิวหนังบริเวญนั้น แห้งได้ง่ายๆ นอกจากนี้แล้วสำหรับสาวๆ คนไหนที่มักนุ่งกระโปรงหรือกางเกงสั้นๆ ออกจากบ้านเป็นประจำ เวลาทำกิจกรรม เช่น คลานเข่า คุกเข่า ระหว่างวันทำให้หัวเข่าของสาวๆ สัมผัสกับพื้นผิว เกิดการเสียดสีได้ง่ายๆ จึงทำให้เกิดอาการ หัวเข่าด้านขึ้นได้บ่อยๆ ค่ะ … แย่จริงๆ เลยนะคะ แล้วแบบนี้จะทำยังไงดีเนี่ย

จริงแล้ววิธีแก้ไขปัญหาหัวเข่าด้านก็ทำได้ไม่ยากหรอกค่ะ เพียงแค่สาวๆ นำน้ำมันมะกอกครึ่งถ้วย น้ำตาลทราย 4-5 ช้อนโต๊ะ ผสมกัน จากนั้นทำให้หัวเข่าของสาวๆ เปียกน้ำเสียก่อน แล้วค่อยใช้น้ำตาลและน้ำมันที่ผสมไว้นั้นมาขัดบริเวณผิวหนังของหัวเข่าที่แห้งด้านโดยขัดเป็นแนววงกลมค่ะ น้ำตาลจะช่วยสครับเซลล์ผิวหนังที่แห้งตายให้หลุดออกไป และน้ำมันจะช่วยเพื่อความชุ่มชื่นให้กับผิวบริเวณหัวเข่านั่นเองค่ะ
หลังจากนั้นให้ล้างออกด้วยน้ำสะอาด แล้วใช้ผ้าขนหนูซับให้แห้งแล้วตามด้วยโลชั่นถนอมผิวแห้งกร้าน แค่นี้เองค่ะหัวเข่าของสาวๆ ที่ดูแห้งกร้านก็จะนุ่มเนียนได้ดั่งเดิมแล้วละค่ะ

สาวๆ ที่พบกับปัญหาหัวเข่าด้านและมีรอยด่างดำ ก็ลองนำวิธีนี้ไปใช้ดูนะคะ ลองทำอยู่อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง หรือถ้ามีเวลาก็เพิ่มเป็นสัปดาห์ละ 2-3 ครั้งก็ได้ค่ะ สำหรับวิธีนี้นอกจากจะนำไปใช้กับหัวเข่าที่ด้านแล้ว ยังสามารถนำวิธีนี้ไปใช้กับสาวๆ ที่มีข้อศอกด้านด้วยนะคะโดยทำวิธีเดียวกัน แต่เวลาออกแรงขัดที่ข้อศอกควรเบามือกว่าผิวหนังบริเวณหัวเข่าเนื่องจากเป็นผิวที่มีลักษณะที่บอบบางกว่าค่ะ … วิธีง่ายๆ ที่ให้ผลลัพธ์ที่ดีเกินคาดแบบนี้ ยังไงสาวๆ ก็ลองนำไปใช้ดูแล้วกัน

วันเสาร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2553

ปลาสปิรันย่า


ปลาปิรันย่า มักได้เป็นตัวเอกในภาพยนตร์ระดับโลกอยู่เป็นระยะ ๆ และโดยมากก็มักจะได้รับความนิยมชมชอบจากคอหนังเสียด้วย เนื่องจากเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับ ปลาปิรันย่า มักจะสนุกตื่นเต้น ลุ้นระทึก และไฮไลท์สำคัญที่ขาดไม่ได้เลยคือ "ความสยองขวัญ" !!!
นั่นเพราะ ปลาปิรันย่า ขึ้นชื่อว่าเป็น ปลาอันตรายชนิดหนึ่งของโลก การอยู่รวมกันเป็นฝูง และมุ่งโจมตีอย่างรวดเร็วด้วยฟันอันแหลมคมของมัน ถือเป็นวิธีสังหารเหยื่ออย่างราบคาบภายในเสี้ยววินาที
ปลาปิรันย่า (Piranha) มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Serrasalmus spp เป็นปลาน้ำจืดกลุ่มหนึ่ง จัดอยู่ในสกุล เซอร์ราซัลมัส (Serrasaimas) สกุลรูสเวลทิเอลลา และสกุล ไพโกเซนทรัส ซึ่งปลาในกลุ่มนี้มีทั้งหมด 25 ชนิด แต่มีเพียง 4 ชนิดเท่านั้นที่เป็นอันตรายต่อคนและสัตว์ เนื่องจาก ปลาปิรันย่า กินเนื้อเป็นอาหาร โดยมักอาศัยอยู่ในลุ่มแม่น้ำแถบอเมริกาใต้และแอฟริกา พบมากในแม่น้ำอเมซอน อันเป็นถิ่นกำเนิด
ลักษณะทั่วไปของ ปลาปิรันย่า ลำตัวจะแบนข้าง ท้องกว้าง คล้ายปลาโคกของไทย แต่ละชนิดจะมีจุดสีตามลำตัวแตกต่างกันออกไป เกล็ดบริเวณสันท้องจะเป็นหนามคล้ายฟันเลื่อยจำนวน 24-31 อัน มีอาวุธสำคัญ คือ "ฟัน" ที่มีแถวเดียวเป็นรูปสามเหลี่ยมและแหลมคมมาก สามารถกัดเนื้อให้ขาดได้อย่างง่ายดาย ริมฝีปากล่างยื่นออกมายาวมากกว่าริมฝีปากบน แต่เมื่อหุบปากจะปิดสนิทระหว่างกันพอดี ในยามที่ ปลาปิรันย่า เริ่มออกอาการหิว หากไม่มีสัตว์อะไรตกลงไปในบริเวณที่อยู่ของมันเลย ปลาปิรันย่า ก็จะกินปลาอื่นในแม่น้ำเป็นอาหาร โดยใช้วิธีล่าเหยื่อด้วยการพุ่งเข้าโจมตีอย่างรวดเร็ว แล้วใช้ฟันที่แหลมคมรุมกัดแทะเหยื่อจนแทบไม่เหลือซาก จนถูกขนานนามว่า "เพชฌฆาตแห่งลุ่มน้ำจืด"
อย่างไรก็ตาม แม้จะขึ้นชื่อว่าเป็น ปลาโหด แต่ ปลาปิรันย่า ก็เป็นปลาที่ขี้ตกใจ จึงต้องอยู่รวมเป็นฝูงใหญ่เพื่อที่จะโจมตีเหยื่อ และบ่อยครั้งที่มันตกเป็นเหยื่อของสัตว์ที่มีขนาดใหญ่กว่า อย่างเช่น ปลาช่อนยักษ์อเมซอน หรือปลาอะราไพม่า, นากยักษ์ (Pteronura brasiliensis) , โลมาแม่น้ำอเมซอน (Inia geoffrensis) และนกกินปลาอีกหลายชนิด รวมถึงคนพื้นเมืองที่นิยมกิน ปลาปิรันย่า เป็นอาหารด้วย
สำหรับ ปลาปิรันย่า ชนิดที่ขึ้นชื่อว่าดุร้ายที่สุด คือ ปลาปิรันย่าแดง หรือปิรันย่าท้องแดง (Pygocentrus nattereri) เกล็ดมีขนาดเล็ก สีแดงอมชมพูแวววาวดูเหมือนกากเพชร ขนาดโตเต็มที่ประมาณ 33 เซนติเมตร น้ำหนักราว 3.5 กิโลกรัม แถมยังสุดอึด สามารถมีชีวิตอยู่บนบกที่ไม่มีน้ำได้นานถึง 2 ชั่วโมง
อย่างไรก็ดี ปลาปิรันย่า มีลักษณะคล้ายคลึงกับปลาเปคู (Pacu) หรือ ปลาคู้ ปลาชนิดนี้ไม่มีความดุร้ายเท่าและสามารถกินได้ทั้งพืชและสัตว์ ซึ่งในประเทศไทยถือเป็นปลาเศรษฐกิจและปลาสวยงาม
และด้วยลวดลายสวยงามของ ปลาปิรันย่า ทำให้บางประเทศอนุญาตให้เลี้ยงปลาชนิดนี้ เป็นปลาสวยงามได้ แต่สำหรับประเทศไทย ถือเป็นสัตว์ต้องห้าม คือห้ามนำเข้า หรือมีไว้ในครอบครอง และห้ามนำไปปล่อยในที่จับสัตว์น้ำ โดยผู้ฝ่าฝืนมีความผิดตาม พ.ร.บ.การประมง ต้องระวางโทษปรับ ไม่เกินหนึ่งแสนสองหมื่นบาท หรือ จำคุกไม่เกิน 6 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ
ทั้งนี้ สาเหตุที่ ปลาปิรันย่า เป็นปลาต้องห้าม เนื่องมาจาก ปลาชนิดนี้สามารถแพร่ขยายพันธุ์ได้อย่างรวดเร็วในพื้นที่เขตร้อนชื้นอย่างประเทศไทย หากหลุดรอดลงไปในแหล่งน้ำธรรมชาติจะก่อให้เกิดอันตรายอย่างมาก ต่อสัตว์น้ำพื้นเมือง และยังเป็นการคุกคามความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งอาจก่อให้เกิดความสูญเสียทางสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสุขอนามัย ที่สำคัญ ยังเป็นอันตรายต่อประชาชนที่ลงไปใช้ประโยชน์จากแหล่งน้ำอีกด้วย

วันเสาร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2553

ส้นสูง...สวยเสี่ยงสุขภาพ!


คุณสาว ๆ มีอาการแบบนี้กันไหมคะ

ปวดเมื่อยบริเวณฝ่าเท้า นิ้วเท้า และเอ็นร้อยหวาย

มีอาการปวดเกร็งของกล้ามเนื้อที่น่อง

หนังด้าน เล็บขบ และเจ็บเล็บ

อาการปวดหลังอย่างไม่ทราบสาเหตุ

ผลจากส้นสูง (เกินพอดี)

อาการเหล่านี้เป็นไปได้ว่า เกิดจากการใส่รองเท้าที่ส้นสูงเกินไป เพราะความลาดเอียงของรองเท้าส้นสูง จะทำให้น้ำหนักส่วนใหญ่ไปตกที่บริเวณปลายเท้ามากกว่าปกติ การกระจายน้ำหนักของร่างกายไม่สมดุล ด้วยมีบริเวณเท้าที่รับน้ำหนักน้อยลง กล้ามเนื้อฝ่าเท้า ขา และน่อง จึงต้องทำงานหนักกว่าเดิม เพื่อรับน้ำหนักและรักษาสมดุล ทำเอาส่วนต่างได้รับผลกระทบกันถ้วนหน้า อย่างเช่น

เท้า : เพราะเป็นตัวต้องรักษาสมดุล ส่งผลต่อกระดูกที่ฝ่าเท้าอาจมีอาการปวดเมื่อยจนอักเสบ

น่อง : การเดินเขย่งจะทำให้กล้ามเนื้อน่องสั้นขึ้น บริเวณน่องเกิดความตึงตัว การไหลเวียนของเลือดไม่ดี

ข้อเท้า : การขยับข้อเท้าในขณะสวมรองเท้าอยู่นั้น หากทำผิดจังหวะก็อาจทำให้ข้อเท้าแพลง

หลัง : การใส่ส้นสูงทำให้เดินเหมือนเขย่ง กล้ามเนื้อขาและลำตัวต้องทำงานมากขึ้น บริเวณหลังจะเกิดการแอ่นมาก ซึ่งจะนำมาสู่การปวดหลัง

เข่า : ต้องรับน้ำหนักมากขึ้น อาจทำให้เกิดอาการปวด โรคกระดูก หรือข้อต่ออักเสบ ตามมา
4 วิธีให้สบายบนส้นสูง
1. เลือกไซซ์ที่ใส่แล้วไม่คับแน่นเกินไป และเหลือเนื้อที่ช่วงหัวรองเท้าเพื่อความสบาย ขนาดรองเท้าของแต่ละแบรนด์ย่อมจะไม่เหมือนกัน ฉะนั้นสำคัญที่ต้องวัดขนาดเท้าทุกครั้งที่จะซื้อรองเท้าคู่ใหม่ค่ะ
2. หลีกเลี่ยงรองเท้าหัวแหลมที่จะบีบหน้าเท้าคุณเกินไป ทำให้ปวดข้อต่อ และมีการผิดรูปของนิ้วเท้า รวมถึงตาปลาเรื้อรัง ควรใช้รองเท้าหัวมน เพื่อให้นิ้วเท้ามีโอกาสได้แผ่ออกอย่างเป็นธรรมชาติ
3. ใช้แผ่นรองรองเท้า เพื่อช่วยให้การกระจายน้ำหนักไปได้ทั่วฝ่าเท้า ช่วยให้คุณสบาย เวลาเดินมากขึ้น และลดอาการปวดเท้าอีกด้วย
4. เลือกความสูงของส้นสูงไม่ควรเกิน 2 นิ้ว และขนาดของส้นก็ไม่ควรแหลมเกินไปอย่างส้นเข็ม แต่ควรมีความกว้างพอสมควร เพื่อช่วยกระจายน้ำหนักให้สมดุลเวลายืนหรือเดิน
จะสวยสูงสง่าแล้ว ก็ต้องสุขภาพดีพอที่จะใส่ส้นสูงได้ด้วยนะคะ และยิ่งกับเวิร์กกิ้งมัมที่ต้องใส่เป็นประจำแล้วนั่น อย่าลืมหมั่นเอาเท้าแช่น้ำอุ่น เพื่อเป็นการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ แล้วอย่าลืมสลับการใส่รองเท้าส้นสูงของคุณกับรองเท้าส้นเตี้ยบ้าง ให้เท้า ขา และหลังคุณได้พักบ้าง

สปาเท้า
นอกจากที่คุณผู้หญิงจะเลือกรองเท้าที่ไม่บีบเท้ามากเกินไปแล้ว แต่หากยังต้องใส่ส้นสูงเป็นเวลานาน หรือยิ่งถ้าต้องเดินเหินด้วยความสูงเช่นนี้แล้ว อาการปวดเมื่อย หรือตะคริวก็จะเกิดขึ้นได้ การคลายปัญหาตรงนี้ก็อาจจะทำสปาเท้า เพื่อคลายกล้ามเนื้อช่วยบรรเทาอาการปวดสักอาทิตย์ละครั้ง
นำเท้าแช่น้ำอุ่นประมาณ 10-15 นาที โดยให้ระดับน้ำสูงถึงครึ่งน่อง
ออกกำลังเท้าและนิ้วเท้าไปขณะแช่เท้า เช่น การกระดกปลายเท้าขึ้นลง งอ-เหยียดนิ้วเท้า หันฝ่าเท้าเข้าออก หรืออาจใช้มือช่วยนวด โดยเฉพาะบริเวณอุ้งเท้าที่มีเส้นเลือดและเส้นประสาทจำนวนมาก หรือจะเป็นการเหยียบกะลาหรือลูกกอล์ฟก็ได้
ใช้มะขามเปียกขัดเท้า ด้วยความเป็นกรดอ่อน ๆ จะช่วยทำให้ผิวนุ่มและสะอาดสะอ้านขึ้น ตบท้ายด้วยการทาโลชั่น เพื่อความผ่อนคลายแบบครบสูตร

วันพฤหัสบดีที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ทำไม..โดนัทถึงมีรู


ขนมโดนัทซึ่งเป็นขนมพื้นเมืองของเนเธอแลนด์นั้น เดิมไม่มีรูตรงกลาง แต่เป็นแป้งทอดมีรสหวาน บางครั้งโรยน้ำตาลด้วย มีชื่อภาษาดัตช์ที่แปลเป็นไทยได้ว่า ขนมน้ำมัน (oil cake) ชาวยุโรปที่อพยพไปสหรัฐอเมริกา ในต้นศตวรรษที่ 17 ได้นำขนมประเภทนี้ไปด้วย เนื่องจากขนมนี้มีรูป ร่างกลมเล็กเท่าลูกวอลนัท ชาวนิวอิงแลนด์จึงเรียกขนมนี้ใหม่ว่า โด แปลว่า ก้อนแป้ง) ทั้งๆ ที่ขนมนี้ไม่มีถั่วเป็นส่วนประกอบเลย

รูตรงกลางโดนัทเพิ่งถือกำเนิดขึ้นในช่วงครึ่งแรกของศตวรรษที่ 19 เมื่อนาย แฮนสัน เกรกอรี กัปตันเรือชาวเมืองรอคพอทรัฐเมน เจาะรูแป้งโดนัท ที่มารดากำลังจะทอด เพราะคิดว่าการขยายพื้นผิวหน้า ของขนม จะทำ ให้ทอดได้ง่ายขึ้น และแต่เดิมนั้น ตรงกลางของ โดนัทมักจะแฉะ สุกไม่ทั่วเมืองรอคพอทภาคภูมิใจในรูโดนัทมาก ถึงกับสร้างป้ายทองแดงจารึก เหตุการณ์ประวัติศาสตร์นี้

วันพฤหัสบดีที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ประกาศ 7 บุคคลผู้คว้า รางวัลแมกไซไซ ปีนี้


เมื่อวันที่ 2 สิงหาคมที่ผ่านมา คณะกรรมการพิจารณารางวัลรามอนแมกไซไซ ได้ประกาศรายชื่อผู้ที่ได้รับรางวัลแมกไซไซประจำปี 2553 ทั้งหมด 7 รางวัล ซึ่งได้แก่

1. นายทาดาโตชิ อากิบะ นายกเทศบาลเมืองฮิโรชิมา ประเทศญี่ปุ่น 3 สมัย ผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์ระเบิดปรมาณูที่เมืองฮิโรชิมา ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2

2 . คริสโตเฟอร์ และ 3. มาเรีย วิคตอเรีย คาร์ปิโอ-เบอร์นิโด คู่สามีภรรยาชาวฟิลิปปินส์ นักฟิสิกส์ผู้พัฒนาการศึกษาวิทยาศาสตร์ในประเทศฟิลิปปินส์

4. หัว ต้ายซาน ช่างภาพชาวจีน ได้รับคัดเลือกจากผลงานการตีแผ่ภาพน้ำเสียกว่า 15,000 ภาพแสดงเป็นนิทรรศการเพื่อสะท้อนปัญหามลพิษในแม่น้ำหวาย ซึ่งเป็นแม่น้ำที่ใหญ่อันดับสามของจีน แม้ว่าจะถูกข่มขู่จากเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นและเจ้าของโรงงานละแวกนั้นก็ตาม

5. โนมาน คาน ทนายความจากบังกลาเทศ ได้รับคัดเลือกจากการเป็นผู้ก่อตั้งองค์กรอิสระเพื่อช่วยเหลือคนพิการชาวบังกลาเทศจำนวนกว่า 13 ล้านคน

6. ปัง ยื่อ ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงการปกป้องสิ่งแวดล้อมของจีน ได้รับคัดเลือกจากการทำงานเพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในจีน

7. ฟู ฉีผิง ผู้นำชุมชนในมณฑลเจ้อเจียงของจีน ได้รับคัดเลือกจากการทำงานเพื่อปกป้องสิ่งแวดล้อมในจีนเช่นกัน

ทั้งนี้ รางวัลแมกไซไซ จัดตั้งขึ้นเพื่อระลึกถึงประธานาธิบดี รามอน แมกไซไซ แห่งฟิลิปปินส์ ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์เครื่องบินตกในปี พ.ศ. 2500 และสำหรับปีนี้ งานประกาศรางวัลแมกไซไซ จะจัดขึ้นที่กรุงมะนิลา ในวันที่ 31 สิงหาคมนี้

วันจันทร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ศัพท์อังกฤษต่อไปนี้ พูดผิดแล้วหน้าแตก !


อย่าอิงกับศัพท์ภาษาไทย
อันนี้เป็นอะไรที่ฮามากกกกกก เพราะบางคนพูดภาษาอังกฤษโดยใช้ประโยคภาษาไทยมาแปลทีละคำ เช่น
ฉันกินข้าว ---- > I eat rice , ฉันไปวัด ----> I go temple (ถึงจะไม่ถูกไวยากรณ์แต่ก็พูดกันเข้าใจ) แต่บางอย่างก็ไม่เข้าใจและกลายเป็นเรื่องโจ๊กไปเลย เช่น มีบางคนคุยเรื่องตลกโปกฮากับฝรั่ง แล้วจะพูดว่า "ขอโทษนะ ฉันพูดเล่น" แต่กลับพูดออกมาเป็นภาษาอังกฤษว่า "Sorry I speak to play" (แปลได้ตรงตัวมาก พูดเล่นจริงๆ ด้วย)
หรือบางคนดันไปมีเรื่องกับฝรั่ง แล้วท้าว่า "อย่าเข้ามานะ ไม่งั้นเอ็งสวย !" พอจะพูดเป็นประโยคภาษาอังกฤษ ไม่รู้จะพูดยังไง เลยกลายเป็นว่า "Don't come , you will be beautiful !" 55555+ ฝรั่งคงงงว่าแล้วมันเกี่ยวอะไรกับความสวยด้วยเนี่ย ฮ่าๆ อย่าขำกันเล่นๆ นะคะ เพราะเรื่องอย่างนี้มีจริงๆ นะเออ
อย่าสะกดหรือออกเสียงผิด
คำภาษาอังกฤษบางคำ ถ้าอ่านออกเสียงหรือสะกดผิดนี่ก็ความหมายคนละโลกเลยค่ะ ยกตัวอย่างเช่น
A : I have an appointment at six o'clock
B : Apartment ? I have a condominium
A : ????
หรือ
A : I want to eat something now , I feel hungry
B : Don't be angry , I will find some food for you
A : ????
จะเห็นได้ว่าคำว่า appointment กับ apartment และ hungry กับ angry นั้นออกเสียงคล้ายๆ กัน ดังนั้นเวลาที่เราจะพูดคำเหล่านี้ก็พยายามออกเสียงให้ชัดด้วยนะคะ อีกฝ่ายจะได้ไม่ฟังผิดนะ
อย่าเข้าใจความหมายผิด
อันนี้จะคล้ายๆ กับข้อแรกที่ว่าอย่าอิงกับศัพท์ภาษาไทย แต่ในกรณี
นี้อาจจะเกิดจากที่ว่า พอเราเห็นศัพท์คำนี้ เราอาจจะคิดว่ามันน่าจะแปล
ว่าอย่างหนึ่ง แต่จริงๆ แล้วมันแปลว่าอีกอย่างค่ะ เช่น
A : The weather is so hot , are you OK ?
B : No , I'm very hot.
A : ????
จริงๆ การจะตอบไปว่า I'm very hot อาจจะไม่แปลกเท่าไหร่
เพราะคนฟังอาจจะเข้าใจ แต่อาจจะมีขำเล็กๆ ก็ได้ เพราะ I'm very
hot ส่วนมากจะแปลว่า ฉันฮอทมาก (หนุ่มเยอะ) อะไรทำนองนั้น
ดังนั้นประโยคนี้จริงๆ ควรตอบว่า I feel hot มากกว่าค่ะ
มาดูกันอีกตัวอย่าง

A : I have a bad stomachache , I need to go to restroom now.
B : Ok, take some pills and rest in the restroom.
A : ?????
คำว่า restroom นั้น ถึงตัวศัพท์ rest แปลว่าพัก room แปลว่าห้อง ดังนั้นพอเอามารวมกันน่าจะแปลว่าห้องพัก แต่จริงๆ แล้วแปลว่า "ห้องน้ำ" นะคะ ไม่ใช่ห้องพัก

วันอาทิตย์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

เปลี่ยนความเครียดให้เป็นประโยชน์ได้อย่างไร


วิธีเอาชนะผลกระทบด้านลบของความเครียดซึ่งอาจเป็นสาเหตุให้น้ำหนักเพิ่ม เป็นโรคหัวใจ ซึมเศร้าและวิตกกังวล อยู่ที่การรับมือ “ไม่เครียดเลยก็น่าเบื่อ ดังนั้น เครียดบ้างก็ดี” ดร. โรเบิร์ต มอนเดอร์ นักจิตวิทยาแห่งโรงพยาบาลเมาท์ไซไนในแคนาดา กล่าว “แม้ความเครียดที่เข้มข้นเกินไปจะเป็นผลดีได้ยาก แต่มีวิธีเชิงบวกที่จะรับมือกับความเครียดนั้น” นี่คือเจ็ดวิธีที่จะช่วยคุณเพิ่มทักษะขจัดความเครียด
1. เปลี่ยนความกังวลเป็นการแก้ปัญหา
ความกังวลคือกระบวนการของการจินตนาการถึงผลลัพธ์ที่เจ็บปวด ทำไมไม่ลองเปลี่ยนความกังวลมาเป็นารแก้ปัญหาไปทีละขั้นล่ะ ลองชั่งน้ำหนักว่าปัญหาไปควรจะแก้ก่อนหรือหลัง อันไหนสำคัญกว่า ก็แก้ก่อน
2. อย่าไปแคร์สื่อ
บางทีความเครียดก็ไม่ได้เกิดจากตัวเราเสมอไป คนรอบข้างเป็นเหตุสำคัญที่อาจก่อให้เกิดความเครียด พยายามอย่าเอาตัวเข้าไปครุกอยู่กับปัญหา แต่ให้ก้าวออกมามองปัญหาภาพกว้างบ้่่างอาจเห็นทางออกได้ไม่ยาก
3. ถามตอบตัวเอง
ให้เขียนสิ่งที่กังวลลงในกระดาษ จากนั้นถามตัวเองว่าถ้าสิ่งที่อยากให้เกิดไม่เกิด หรือสิ่งที่ไม่อยากให้เกิดกลับเกิด ผลลัพธ์เลวร้ายที่สุดที่จะเกิดกับฉันคืออะไร จากนั้นถามตัวเองว่าเรื่องดีๆที่อาจเกิดขึ้นมีอะไรบ้าง ถ้าสิ่งที่ฉันอยากให้เกิดไม่เกิด หรือสิ่งที่ฉันไม่อยากให้เกิดกลับเกิด ค้นหาความคิดหรืออารมณ์เชิงบวกที่จะดึงออกมาได้ขณะนึกหาทางออกอื่น
4. เจาะลึก
เรื่องร้ายไม่ใช่เรื่องน่ากลัวเสมอไป มีข้อดีอะไรบ้างไหมในเรื่องที่ทำให้เครียด แทนที่จะคิดหมกมุ่น ดูสิว่าจะสร้างความแข็งแกร่งขึ้นมาได้อย่างไรการมองหาความหมายและคุณค่าจากประสบการณ์ที่พานพบช่วยทำให้สถานการณ์ที่ตึงเครียดพอทนได้มากขึ้น
5. สร้างตัวกระตุ้นภายใน
งานวิจัยใหม่ของมหาวิทยาลัยพรินซ์ตันในเรื่องสมองระบุว่า ความเครียดเรื้อรังเป็นมูลเหตุให้สมองถูกทำลายเพราะเซลล์สมองหยุดสร้างเซลล์ใหม่ ข่าวดีนะหรือ สภาพแวดล้อมเป็นปัจจัยกระตุ้นที่ช่วยฟื้นฟูส่วนที่ถูกทำลายนั้นได้โดยเร่งสร้างเซลล์ใหม่ ลองหันเหไปทำอย่างอื่นบ้าง เช่นคนที่ออกกำลังทุกวัน แค่ออกกำลังง่ายๆด้วยการเดินก็ได้ มีโอกาสเครียดสูงน้อยกว่าคนที่ไม่ออกกำลังถึงร้อยละ 41
6. หาแรงบันดาลใจให้ตัวเอง
บางคนพบว่าการอ่านเรื่องราวของคนอื่นช่วยให้รับมือกับความ เครียดได้ดีขึ้น มอนเดอร์แนะให้มองหาแรงบันดาลใจใกล้ๆตัว “การถอยกลับสักก้าวและทบทวนความสำเร็จของตัวเองในอดีตจะช่วยให้รับมือปัญหาได้ดีขึ้น”เขากล่าว “กรรมวิธีนี้ช่วยตอกย้ำให้ตัวเองว่า ‘ฉันเคย รับมือกับเรื่องราวมากมายในอดีตมาแล้ว เรื่องนี้จะจัด การอย่างไรดี’ ”
7. แบ่งเบาภาระออกไป
นักวิจัยที่มหาวิทยาลัยแพทย์กราซในออสเตรียศึกษาเมื่อปี 2550 พบว่า การบำบัดพฤติกรรมแบบกลุ่มในระยะสั้นได้ผลลัพธ์ออกมาดี ช่วยลดแรงดันเลือดและความ เครียดโดยรวมของผู้รับการบำบัดที่เครียดเพราะงานหนัก “วางแผนกิจกรรมที่จะทำประจำวัน มีครอบครัวและเพื่อนคอยสนับ สนุนให้ลงมือทำกิจกรรมใหม่เหล่านี้ จะมีส่วนช่วยให้คุณรับมือกับความเครียดด้วยวิธีใหม่ๆ ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น”ซอนเดอร์สกล่าว

วันอาทิตย์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2553

7 วิธีจัดการเวลา พากระชุ่มกระชวย


1. เวลาตื่นนอน ลองตื่นเช้ากว่าปากติที่เคยตื่น 5-10 นาที

2. เวลาแปรงฟัน ถูสบู่ อาบน้ำฝักบัว ให้ลองเปลี่ยนข้างมือที่ใช้บ้าง เพื่อความแปลกใหม่!! และกระตุ้นสมองเล็กน้อย(เพิ่มความลำบากด้วย - -')
3. นั่งรถโรงเรียนหรือไปเอง หรือพ่อแม่ไปส่ง จากที่เคยหลับให้มองวิว จากที่เคยมองวิวให้หลับบ้าง (อ้าวววว??)

4. ไปโรงเรียนให้ทันเวลาเข้าแถว ยื่งไปเช้ายิ่งดี(แต่ไม่ใช่ไปลอกการบ้านนะ) คนไปเช้ามักจะหัวดี หัวสมองจะปลอดโปร่ง(พี่แนนยืนยันๆ)
5. เวลาว่างจากนั่งโม้ นั่งเมาท์ เอาเวลาไปเข้าสมุดบ้าง (อิอิ)

6. กลับจาก รร. ปุ๊ปอาบน้ำโลด แล้วมาทำการบ้านให้เสร็จก่อนกินข้าวเย็น(ถ้าเป็นไปได้) แล้วหลังจากกินข้าวเย็นเสร็จแล้วก็เริ่มอ่านหนังสือตามตารางวันละประมาณ 2 ชม.ก็เกินพอในวันธรรมดา ส่วนในวันเสาร์อาทิตย์สำหรับคนที่ไม่มีเรียนก็ 9 ชม.นะคะ ^_^
7. ก่อนเข้านอน ไม่ต้องเอาหนังสือมาวางใต้หมอนนะ มันไม่เข้าหัวหรอก ให้สวดมนต์ไหว้พระ นั่งสมาธิวันละ 2-5 นาที ให้จิตสงบก็พอแล้ว

วันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ตึกเมืองอาบูดาบี


หลังจากที่หอเอนเมืองปิซ่า ได้เสียแชมป์ "สิ่งก่อสร้างที่เอียงที่สุดในโลก" ให้กับโบสถ์ซูเออร์ฮูเซ่น ในเยอรมันเมื่อ 3 ปีก่อน ล่าสุดได้มีสิ่งก่อสร้างแห่งใหม่ผุดขึ้น ทำลายสถิติสิ่งก่อสร้างที่เอียงที่สุดในโลกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
และสิ่งก่อสร้างที่ว่านี้ ก็คือ ตึกแคปิตอล เกท ในเมืองอาบูดาบี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เป็นตึก 35 ชั้นที่สูง 160 เมตรและมีความเอียงถึง 18 องศา ซึ่งถือว่ามากกว่าหอเอนปิซ่าที่มีความเอียงเพียงแค่ 4 องศา และโค่นแชมป์โบสถ์ซูเออร์ฮูเซ่นที่เอียงเพียงแค่ 5 องศาเท่านั้น โดยตึกแคปิตอลเกทนี้จะมีฐาน 12 ชั้นเป็นแนวตั้งฉากกับพื้น แล้วเริ่มเอียงตั้งแต่ชั้นที่ 13 ขึ้นไป สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นโรงแรมและเปิดเป็นสำนักงานให้เช่า ขณะนี้อยู่ในระหว่างการก่อสร้างที่เสร็จสิ้นไปแล้วกว่า 80% มีกำหนดสร้างเสร็จและพร้อมเข้าอยู่อาศัยได้ภายในปลายปีนี้
ทั้งนี้ กินเนสส์บุ๊คจึงได้บันทึกให้ตึกนี้เป็น "สิ่งก่อสร้างที่เอียงที่สุดในโลก" เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขณะที่นิตยสาร "เนชันแนล จีโอกราฟฟิค" ก็ได้รวมตึกนี้ ให้เป็นหนึ่งในสิ่งก่อสร้างอันยิ่งใหญ่ด้วย

วันอาทิตย์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ยีนฉลาด


ยีนแห่งการเรียนรู้" สร้างเด็กฉลาด

ยีนการเรียนรู้ หรือยีนความฉลาด คือศักยภาพความเฉลียวฉลาดที่ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด เป็นเด็กฉลาด และมีความใฝ่รู้เป็นพื้นฐานของชีวิต ทำให้มีกระตือรือร้นอยากที่จะเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ตลอดเวลา อยากรู้อยากเห็น และช่างสังเกตเรื่องราวรอบ ๆ ตัวเสมอ ซึ่งอาจจะเกิดจากการที่พ่อแม่เป็นคนเก่ง มีสายพันธุ์ที่ดี เด็กที่เกิดมาก็จะมีศักยภาพที่ดีติดตัวมาด้วย

โดย ความฉลาด หรือทักษะพิเศษแบ่งเป็น 3 ด้าน คือ

1. ด้านคณิตศาสตร์การคำนวณ คือมีความเข้าใจ และสามารถคิดคำนวณเลขระดับพื้นฐาน ไปจนถึงแคลคูลัส และเลขระดับขั้นสูงต่าง ๆ

2. ด้านภาษาการสื่อสารที่ดี พูดภาษาได้คล่องแคล่ว สามารถสื่อสารกับผู้คนได้อย่างว่องไว รู้ความหมาย และรู้คำศัพท์ได้ดี

3. ด้านมิติสัมพันธ์ คือมีความเข้าใจเรื่องมิติความสัมพันธ์ของสถานที่ กาลเวลา รู้ว่าอะไรมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันอย่างไร ในมิติสัมพันธ์ของกาลเวลา สถานที่ โดยผ่านการทดสอบแบบการต่อรูปภาพ เข้าใจรูปภาพหรือเรื่องราวในรูปแบบ 2 มิติ 3 มิติ 4D รวมไปถึงเข้าใจโจทย์ปัญหาทางวิศวกรรมศาสตร์ สถาปัตยกรรมศาสตร์ด้วย

นอกจากนี้ โฮวาร์ด การ์ดเนอร์ จากมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด สหรัฐอเมริกา ยังบอกอีกว่าความเฉลียวฉลาดในตัวเด็กๆ นอกจากทักษะข้างต้นแล้ว ยังสังเกตได้จากความสามารถทางด้านดนตรี ความสามารถทางศิลปะ การมีวาทศิลป์ในการจูงใจคน ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะสามารถวัดความเฉลียวฉลาด และนำไปสู่การพิสูจน์ว่า ยีนการเรียนรู้สามารถถ่ายทอดทางสายเลือดได้มากน้อย แค่ไหน เช่น

ครอบครัวหนึ่ง คุณพ่อเป็นนักดนตรีที่เก่งมาก หรือร้องเพลงได้ไพเราะ สังเกตได้ว่าลูกที่เกิดมา ก็จะมีความสนใจในเรื่องดนตรี หรือการร้องเพลงเป็นพิเศษ หรือที่เรียกว่ามีพรสวรรค์ในการเล่นดนตรีได้ดี ร้องเพลงได้เพราะ เป็นต้น

ปัจจัย สิ่งแวดล้อม ก็ช่วยสร้างยีนการการเรียนรู้ได้

นอกจากยีนการเรียนรู้ หรือยีนความฉลาดจะถูกถ่ายทอดทางพันธุกรรม (Nature) มีมาโดยกำเนิดแล้ว เหล่าบรรดานักวิชาการ นักวิจัยก็ยังมีข้อถกเถียงกันอยู่ว่าความฉลาด และการเรียนรู้ของเด็ก ๆ นั้น มีปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม (Nurture) เข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น การอบรมเลี้ยงดู การมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง รับประทานอาหารที่ดี รวมไปถึงการมีโอกาสที่ได้รับประสบการณ์ การกระตุ้นพัฒนาการที่ดีในวัยเด็ก หรือได้รับการศึกษาที่ดี ก็สามารถกระตุ้นให้เด็ก ๆ เกิดกระบวนการ การเรียนรู้ที่ดี และนำไปสู่ความเฉลียวฉลาดได้เหมือนกัน

โดยมีการศึกษาในเด็กที่ไม่มียีนการเรียนรู้ติด ตัวมาแต่กำเนิด แต่ในช่วงวัยเด็ก พ่อแม่เลี้ยงดูอย่างดี มีการกระตุ้นพัฒนาการที่ดี ให้ความดูแลเอาใจใส่ และให้โภชนาการที่ดีนั้น จะทำให้ยีนในตัวเด็กเกิดการเปลี่ยนรหัส และสามารถเติมลักษณะบางอย่างเข้าไป เรียกว่า Epi Genetic คือ ปรากฏการณ์ที่เหนือกว่าพันธุกรรม ซึ่งเป็นกลไกทางเคมีที่ทำให้สารพันธุกรรม หรือ DNA เกิดการปรับเปลี่ยนได้ แสดงว่ายีนสามารถปรับเปลี่ยนให้มีการเรียนรู้ และฉลาดขึ้นได้ แต่จะปรับเปลี่ยนได้มากหรือน้อย หรือเรียกว่าถูกเปิด ถูกปิดตอนไหน ขึ้นอยู่กับการเลี้ยงดูของพ่อแม่ด้วยค่ะ

ยีนการเรียนรู้ถูกเปิด ถูกปิด ตอนไหน

มีการวิจัยระบุว่ายีนแห่งการเรียนรู้ที่ติดตัวมา ตั้งแต่เกิดนั้น มีโอกาสที่จะถูกปิดลงได้เหมือนกันค่ะ ซึ่งเกิดขึ้นได้ถ้าช่วงระหว่างตั้งครรภ์ 3 เดือนก่อนคลอด แม่มีภาวะเครียด มีระดับฮอร์โมนความเครียดมาก จะส่งผลให้ยีนที่สร้างอารมณ์แจ่มใส ร่าเริง และยีนที่เกี่ยวกับการเรียนรู้ ของลูกถูกปิดลง และยีนหลายตัวจะถูกเปิดออก เช่น ยีนที่ทำให้เด็กมีความอ่อนไหวด้านอารมณ์ของความเครียดสูง กลายเป็นเด็กที่ไวต่อความเครียดได้ง่ายค่ะ

แต่ก็ไม่ต้องกังวลมากนะคะ เพราะถ้าเด็ก ๆ ได้รับการดูแลที่ดี ส่งเสริมพัฒนาการดี ได้รับความรัก ความอบอุ่น และ ให้โภชนาการที่ดี เช่น น้ำมันปลา มีสาร AHA ซึ่งสามารถไปเปิดยีนบางตัวที่ทำให้เกิดการสร้างเส้นใยประสาท สร้างโครงสร้างในสมองขึ้นได้ ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงรหัสพันธุกรรมที่จะทำให้เกิดยีนการเรียนรู้ หรือยีนความฉลาด ขึ้นอยู่กับปัจจัยสิ่งแวดล้อมที่มีผล ผลมากเหมือนกันค่ะ

วิธีการตรวจหายีนแห่งการเรียนรู้

ปัจจุบันมีเทคโนโลยีที่สามารถตรวจเลือดเด็กทารก โดยการเอาเลือดไปแยกเซลล์เม็ดเลือดขาว ซึ่งในเซลล์เม็ดเลือดขาวจะมีนิวเคียส มีโครโมโซม ก็สามารถเอาโครโมโซมไปแยกเป็นยีนตัวต่าง ๆ โดยการตัดโครโมโซมที่มีอยู่ 23 คู่ แล้วทำการวิเคราะห์ยีนต่างๆ ว่ามีรหัส หรือยีนอะไรบ้าง ซึ่งทำให้สามารถรู้ได้ว่า มีความเสี่ยงในการที่จะเกิดโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุ กรรมไหม เช่น ทาลัสซีเมีย โรคโลหิตจาง โรงมะเร็งเม็ดเลือดขาว อัลไซม์เมอร์ สมาธิสั้น ออทิสติก ดาวน์ซินโดรม

รวมไปถึงการตรวจหายีนที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ หรือความฉลาดด้วย ซึ่งจะสามารถบอกได้ว่า เด็กมียีนความฉลาดอยู่หรือไม่ เพื่อให้ส่งเสริมลูกไปในทางที่ถูกได้มากขึ้น

ไม่ว่าลูกของเราจะมียีนการเรียนรู้อยู่ในตัวหรือไม่ ถ้าพ่อแม่ส่งเสริมพัฒนาการให้เหมาะตามวัย กระตุ้นในสิ่งที่ลูกชอบ ก็จะเกิดพัฒนา และนำไปสู่การเกิดกระบวนการเรียนรู้ที่ดี เป็นเด็กฉลาดสมวัยได้เหมือนกัน

วันเสาร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ตำนานหมากฝรั่ง


ตำนานหมากฝรั่ง เกิดจากนายพลอันโตนิโอ โลเปช เอ็กซ์ ซานตา อันนา แห่งกองทัพเม็กซิโก ซึ่งเดินทางมาอยู่ในอเมริกา

และนำยางต้นไม้จากป่าในเม็กซิโกชื่อว่า ยางชิคลิ (chicli) มาด้วย ซึ่งเป็นที่รู้จักในหมู่พวกอาซเท็ก

ต่อมาเมื่อเดือนก.พ. ปี 2414 โทมัส อดัมส์ นักถ่ายภาพและนักประดิษฐ์ เห็นว่าหมากฝรั่งที่นายพลซานตาเคี้ยวน่าจะเป็นที่นิยม จึงวางแผนเปิดตลาดหมากฝรั่ง จนประสบความสำเร็จ โดยหมากฝรั่งยุคแรก ทำเป็นเม็ดกลมเล็กๆ ไม่มีรสชาติ วางขายในร้านขายยาแห่งหนึ่งในเมืองโฮโบเค็น รัฐนิวเจอร์ซี สหรัฐอเมริกา ขายราคาเม็ดละ 1 เพนนี และดัดแปลงทำเป็นรูปแผ่นสี่เหลี่ยมแบนๆ

ต่อมาปี 2418 จอห์น คอลแกน เภสัชกร เติมรสชาติในหมากฝรั่งโดยใช้ตัวยาทางการแพทย์ คือขี้ผึ้งหอมทูโล ซึ่งทำจากยางไม้ต้นทูโลในอเมริกาใต้ มีรสชาติหวานคล้ายกับยาแก้ไอน้ำเชื่อมของเด็กในยุคร้อยกว่าปีก่อน พร้อมทั้งตั้งชื่อหมากฝรั่งชนิดนี้ว่า "แทฟฟี่-ทูโล" ทำให้หมากฝรั่งกลายเป็นที่นิยมขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้น นายโทมัส อดัมส์ เจ้าเก่าก็ผลิตหมากฝรั่งรสชะเอม หรือที่เรียกว่า "แบล็กแจ๊ก" เป็นหมากฝรั่งเติมรสที่เก่าแก่ที่สุดที่มีขายอยู่ในท้องตลาดของอเมริกา

หลังจากนั้นปี 2423 นายวิลเลียม เจ.ไวต์ ผสมน้ำเชื่อมข้าวโพด และเติมรสด้วยเปเปอร์มินต์ ทำให้หมากฝรั่งซึ่งถูกตั้งชื่อว่า "รสเปเปอร์มินต์" และเป็นที่นิยมอย่างมาก

สำหรับหมากฝรั่งที่เป่าเป็นลูกโป่ง สองพี่น้อง แฟรงก์ และ เฮนรี ฟลีเออร์ เป็นผู้คิดค้นขึ้นแต่ในช่วงแรกยังมีคุณภาพไม่ดีนัก เป่าแล้วแตก ติดหน้าเหนอะหนะ จนในปี 2471 วอลเตอร์ เดมเมอร์ นำมาพัฒนาต่อและสามารถเป่าได้โตกว่าเดิม 2 เท่า และตั้งชื่อให้หมากฝรั่งแบบใหม่ว่า "ดับเบิ้ล บับเบิ้ล" ซึ่งไม่ได้ทำมาจากยางไม้อย่างหมากฝรั่งของนายพลซานตา แต่เป็นยางสังเคราะห์นุ่มซึ่งไม่มีรสและกลิ่น คนอเมริกันนิยมเคี้ยวเจ้ายางสังเคราะห์นี้มาก

ปัจจุบัน หมากฝรั่งมีหลากหลายรสชาติ เช่น รสมินต์ ทำให้ลมหายใจสดชื่น รสเลมอน ทำให้รู้สึกตื่นตัว หรือรสเปเปอร์มินต์ ที่ให้ความรู้สึกเย็น และยังมี "ลูกเล่น" ที่น่าตื่นตาตื่นใจ อย่างเช่น บับเบิ้ลกัมพ์ (หมากฝรั่งที่ยืดหยุ่นได้ มีลักษณะเป่าแล้วเกิดฟอง) ลูกอมและหมากฝรั่งผสมที่มีลักษณะคล้ายอมยิ้ม

จากเดิมที่ใช้หมากฝรั่งช่วยระงับกลิ่นปากและทำให้ลมหายใจหอมสดชื่น ในปัจจุบัน มีพัฒนาให้สามารถปกป้องเหงือกและฟัน เช่น หมากฝรั่งแบบไม่มีน้ำตาลโดยมีสารให้ความหวานเทียมจากไซลิทอลหรือน้ำตาลแอลกอฮอล์ธรรมชาติชนิดหนึ่ง

นอกจากนี้ยังมี หมากฝรั่งสำหรับลดการติดบุหรี่ ซึ่งช่วยให้ประชาชนได้ประโยชน์มากกว่าความอร่อยอย่างเดียว

วันเสาร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

สิวตัวร้ายเกิดขึ้นได้ยังไง


สิวเป็นอีกหนึ่งปัญหาพาเซ็งที่สาวๆ หลายคนต้องประสบพบเจอ ซึ่งสาวๆ หลายคนถึงกับเอ่ยปากว่า “อยากรู้จริงๆ ชั้นไปทำอะไรให้ ทำไมต้องมาขึ้นหน้าชั้นด้วย” …
>>> เริ่มต้นจากเมื่อร่างกายเริ่มผลิตฮอร์โมนแอนโดรเจน มักเกิดขึ้นในช่วงก่อน/หลังมีประจำเดือน ฮอร์โมนจะกระตุ้นให้ต่อมไขมันใต้ผิวขยายใหญ่ขึ้น
>>> และเมื่อต่อมไขมันถูกขยายใหญ่ขึ้น จะมีน้ำมันที่เป็นมอยส์เจอร์ไรเซอร์ตามธรรมชาติของผิว ถูกผลิตออกมามากเกินไป และในขณะที่น้ำมันเดินทางจากต่อมไขมันสู่ปากรูขุมขน เกิดไปผสมเข้ากับแบคทีเรียและเซลล์ผิวที่ตายแล้วซึ่งอยู่ในรูขุมขน ทำให้เกิดการเข้มข้นเป็นพิเศษจึงเกิดการอุดตันรูขุมขน ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดสิวนั่นเอง
>>> ตามปกติ เซลล์ที่ตายแล้วในรูขุมขนจะค่อยๆ ถูกกำจัดออกสู่ปากรูขุมขนโดยน้ำมันหรือเหงื่อ แต่เมื่อฮอร์โมนแอนโดรเจนกระตุ้นให้ต่อมไขมันใหญ่ขึ้นและผลิตน้ำมันออกมามากขึ้น เซลล์ผิวหนังในรูขุมขนก็จะผลิตและตายเร็วขึ้นด้วย เมื่อมีเซลล์ที่ตายอยู่มาก ก็จะเกิดการอุดตันในรูขุมขนมากขึ้นเป็นทวีคูณ

>>> เมื่อรูขุมขนเกิดอุดตัน บวกเข้ากับเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งปกติแล้วก็อาศัยอยู่ตามผิวหนังและรูขุมขน แต่เมื่อเกิดการอุดตัน เชื้อแบคทีเรียซึ่งไม่ชอบออกซิเจน ก็จะแบ่งตัวได้อย่างรวดเร็วผิดปกติ จนเกิดเป็นสาเหตุของการอักเสบในรูขุมขนขึ้น

>>> เมื่อเกิดการอักเสบขึ้นแล้ว เม็ดเลือดขาวในร่างกายก็จะฆ่าแบคทีเรีย ทำให้สิวเกิดเป็นตุ่มแดง บวม เจ็บ และเกิดเป็นหัวหนองในที่สุด

วันศุกร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

เคล็ดลับการทำข้อสอบ



นักเรียนส่วนมากรู้สึกว่าการสอบเป็นเรื่องยาก ทำให้เครียด
กังวลและท้อใจถ้าผลการสอบออกมาไม่ดี หลายคนชอบเรียนแต่ไม่ชอบสอบ แต่ถ้าเราลองคิดในแง่ดีแล้ว การสอบมีประโยชน์มาก เพราะทำให้เรารู้ว่าผลการเรียนของตนเองอยู่ในระดับใด จะได้ปรับปรุงให้ดีขึ้น จงจำไว้ว่าคุณก็สามารถที่จะเอาชนะการสอบได้ ขอเพียงแต่คุณตั้งใจ แบ่งเวลาและเตรียมตัวสอบให้ดี วันนี้จะแนะนำเทคนิคเล็ก ๆ น้อย ๆ ในการสอบให้ทราบกัน
1.เตรียมอุปกรณ์การสอบไปให้พร้อม เช่น ปากกา ยางลบ ไม้บรรทัดรวมทั้งบัตรประจำตัวด้วย
2.ถ้าเลือกได้ให้เลือกที่นั่งที่ไร้สิ่งรบกวนและคุณรู้สึกสบาย มีอากาศถ่ายเทสะดวก ไม่มีเสียงที่ดังเกินไปรบกวน
3.อ่านคำสั่งของข้อสอบให้เข้าใจ ถ้ามีปัญหาอะไรให้ถามผู้คุมสอบทันทีจะได้ไม่มีปัญหาว่าทำข้อ สอบผิด
4.ขีดเส้นใต้คำสำคัญ เช่น ไม่ เหตุใด และพิจารณาให้ดีว่าในคำถามหนึ่งข้อมีคำถามย่อยหรือไม่
5.เรียบเรียงความคิดว่าจะตอบคำถามแต่ละข้ออย่างไร
6.จัดแบ่งเวลาสำหรับการทำข้อสอบแต่ละข้อ โดยเฉพาะถ้าเป็นข้อสอบแบบอัตนัย
7.ควรทำข้อสอบส่วนที่มีสัดส่วนคะแนนมากที่สุดก่อน หรือถ้าทำไม่ได้ ให้ทำส่วนที่คิดว่าทำได้แน่นอน อย่างน้อยจะได้มีคะแนนบ้าง
8.ถ้าเป็นข้อสอบเขียนบรรยายก็ควรเขียนด้วย ลายมือที่อ่านง่าย ใช้ปากกาสีน้ำเงินหรือสีดำ จะได้สบายตาผู้ตรวจ และกระดาษคำตอบควรจะสะอาดเรียบร้อย
9.ตรวจความถูกต้องอีกครั้งก่อนส่งข้อสอบ ดูว่าทำถูกต้องตามคำสั่งหรือไม่ ตอบคำถามครบหรือเปล่า
10.หากพบสิ่งผิดปกติในห้องสอบ หรือมีสิ่งรบกวนการสอบ เช่น นอกห้องดังเกินไป ให้บอกผู้คุมสอบทันที
แต่พึงคิดไว้เสมอว่าไม่ว่าเราจะมีเคล็ดลับในการทำข้อสอบดีเลิศซักขนาดไหน สุดท้ายคะแนนสอบจะดีหรือไม่ดีอย่างไรมันก็อยู่ที่ตัวเราว่าเราได้ทุ่มเทให้มันเพียงพอหรือยัง อย่าลืมตั้งใจอ่านหนังสือกันนะค่ะ

วันอาทิตย์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

6 วิธี ทำให้ตัวเองดูเป็นคนฉลาด


คนคุณภาพ
ทำตัวเองให้ดูเป็นคนมีคุณภาพ โดยเริ่มจากรับผิดชอบงานที่ตัวเองได้รับมอบหมายให้ดีซะก่อน แล้วค่อยคิดที่จะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือคนอื่น
ฉลาดอย่างถูกต้อง
หากเราต้องการให้คนอื่นมองว่าเราเป็นคนฉลาด อย่าทำผิดศีลธรรมเป็นอันขาด ไม่ใช่เพราะโกงหรือหลอกลวงคนอื่นว่าเราฉลาด เพราะความฉลาดต้องมาจากความฉลาดอย่างถูกต้องเท่านั้น ถึงจะเรียกได้ว่าเป็นความฉลาดที่ยั่งยืน
อัพเดทข่าวใหม่เสมอ
ติดตามข้อมูลข่างสารใหม่ๆ อย่างสม่ำเสมอ อ่านหนังสือพิมพ์ให้มากกว่า 1 ฉบับต่อวัน ถ้าเป็นไปได้ยามว่างก็ลองหานิตยาสารดีๆซักเล่มมานั่งอ่าน ให้หัวสมองได้ทำงานบ้าง
ใช้เหตุผล...และคิดก่อนทำ
เคยเห็นคนโกรธ โมโหร้าย ใช้แต่อารมณ์โดยไม่ฟังเหตุผลหรือเปล่า สถาพคงไม่น่ามองแน่ๆ แล้วถ้าเป็นเรา เราจะทำอย่างนั้นหรอ อย่าลืมซะว่า เหตุผล มาก่อนอารมณ์มันดีกว่าเป็นไหนๆ คนฉลากที่ไหนเค้าก็ทำกันทั้งนั้น ถ้างั้นก็ขึ้นอยู่กับตัวเราแล้วล่ะว่า จะเลือกที่จะฉลาด หรือโง่ ล่ะ
nobody's perfect
เตือนตัวเองอยู่เสมอว่าnobody's perfectจงรู้จักที่จะเรียนรู้จากความผิดพลาดที่ผ่านมา เพื่อใช้เป็นสิ่งเตือนความจำ น้องๆเคยได้ยิน คำว่า “ผิดเป็นครู” หรือเปล่าจ๊ะ นั่นแหละ เค้าต้องการจะสอนว่า ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นจะสอนเราให้เราเก่งและฉลาดขึ้น เพื่อพร้อมจะเผชิญหน้าต่ออุปสรรค์ต่างๆ
ไม่เหมือนใคร
คิดซะว่า ตัวเรามีแค่คนเดียวไม่ซ้ำใคร อย่าเอาตัวเองไปเปรียบกับคนอื่น ข้อดีข้อเสีย จุดด้อยจุดเด่น ของแต่ละครย่อมไม่เหมือนกันอีกเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นเป็นตัวของตัวเองกันดีกว่า ลองดึงจุดเด่น และข้อดี ของตัวเราออกมาใช้ดูซิ แล้วจะพบว่า ตัวเองมีค่าขึ้นอีกเยอะเลย

วันเสาร์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

4 สิ่ง 'ควรทำ' และ 'ไม่ควรทำ' ในรัสเซีย


PLEASE DO ...
1. เช็คปฏิทินว่ามีงานหรือกิจกรรมรื่นเริงอะไรบ้าง โดยเฉพาะในช่วงเดือนมกราคมและพฤษภาคมนั้น เป็นช่วงที่รัสเซียโดยเฉพาะเมืองมอสโคว์(เมืองหลวง) มีกิจกรรมและงานรื่นเริงต่างๆ เยอะมาก ทั้งขบวนพาเหรดและคอนเสิร์ตต่างๆ ดังนั้นไปเที่ยวรัสเซียทั้งที จึงไม่ควรพลาดที่จะเข้าร่วมงานเหล่านี้
2. หากถูกเชิญให้ไปบ้านของคนรัสเซีย ควรจะเตรียมไวน์ เค้ก ขนมลูกกวาดไปเป็นของฝากให้เจ้าของบ้านด้วย โดยเฉพาะถ้าของนั้นๆ เป็นยี่ห้อของรัสเซียล่ะก็ รับรองว่าจะถูกใจผู้รับมากๆๆๆ
3. การแต่งตัวไปเที่ยวยามค่ำคืนนั้น ควรพยายามแต่งให้ดูกลืนไปกับคนรัสเซีย โดยผู้หญิงจะนิยมใส่ส้นสูงและกระโปรงสั้น ส่วนผู้ชายใส่ดำทั้งชุด
4. ประเทศรัสเซียได้ชื่อว่าเป็นประเทศหนึ่งที่มีค่าครองชีพสูงที่สุดในโลก เพราะฉะนั้นเตรียมใจได้เลยว่าการไปรัสเซียนั้นจะต้องเสียเงินเยอะมากๆๆ ไม่ว่าจะเป็นค่าที่พักหรือค่าอาหาร โดยเฉพาะถ้าเป็นคนต่างชาตินั้น ในการไปใช้บริการอะไรต่างๆ เช่น ค่าเข้าชมพิพิธภัณฑ์ อาจจะต้องจ่ายแพงกว่าคนรัสเซียปกติถึง 10 เท่า
PLEASE DON'T...
1.อย่าตกใจถ้าถูกตำรวจรัสเซียเรียก เพราะตามท้องถนนมักจะมีตำรวจเดินไปเดินมาแล้วขอเรียกตรวจพาสปอร์ตและวีซ่าของนักท่องเที่ยว ซึ่งถ้าไม่ได้พกมา ตำรวจจะตามคุณกลับไปถึงที่พักเพื่อขอดูพาสปอร์ตและวีซ่าเลยทีเดียว ดังนั้นไม่ต้องตกใจถ้าถูกตำรวจเรียก เป็นเรื่องปกติมากๆๆ (แต่สำหรับคนไทยสามารถเดินทางไปรัสเซียได้โดยไม่ต้องมีวีซ่าเป็นเวลา 30 วันนะ)
2. ห้ามนั่งบนมุมโต๊ะ เป็นความเชื่อของคนรัสเซียที่ว่าหากนั่งบนมุมโต๊ะแล้ว จะไม่ได้แต่งงาน !! จนกว่าจะถึงอีก 7 ปีข้างหน้า
3. อย่าวางขวดวอดก้าเปล่าๆ ที่ไม่มีวอดก้าอยู่ในขวดบนโต๊ะ เป็นความเชื่ออีกเหมือนกันว่าจะเกิดโชคร้าย คนรัสเซียจะวางขวดวอดก้าเปล่าๆ ลงบนพื้น ไม่วางบนโต๊ะ
4. อย่าลืมพกบัตรนักเรียน หรือ International Student Identity Card ติดตัวตลอดเวลา อย่างที่บอกไปว่ารัสเซียมีค่าครองชีพสูงมาก ดังนั้นบัตรนักเรียนอาจจะช่วยให้คุณประหยัดเงินได้อย่างมากโข โดยเฉพาะค่าบัตรผ่านประตูเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ซึ่งมีราคาแพงมาก

วันศุกร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2553

กำจัด "เซลลูไลท์" ไปจากชีวิตสาว


ถ้าจะพูดถึงหนึ่งในปัญหากวนใจสาวๆ แล้วล่ะก็ ขอบอกเลยนะคะว่าเจ้า “เซลลูไลท์” ตัวร้ายนี่ล่ะค่ะคือหนึ่งปัญหาคาราคาซังที่ทำให้สาวๆ ต้องปวดหัวกับเจ้าส่วนเกินอันไม่พึงประสงค์ที่อยู่ๆ ดีก็เกิดขึ้นมาตามส่วนต่างๆ ของร่างกายซะอย่างนั้นจริงๆ แล้ว เจ้าเซลลูไลท์ตัวร้าย ก็คือ ผิวหนังชั้นบนที่มีการสะสมไขมันมากกว่าปกติ ซึ่งเมื่อดูจากภายนอกจะเห็นลักษณะผิวขรุขระ เป็นก้อนนูน ไม่เรียบเนียน เซลลูไลท์นั้นมีชื่อเล่นที่เรารู้จักกันดีก็คือ “ผิวเปลือกส้ม” ซึ่งมักจะพบได้ตามบริเวณ สะโพก ต้นขา ต้นแขน ก้น หน้าท้อง
สำหรับสาเหตุของผิวเปลือกส้มนั้นมีได้หลากหลายสาเหตุค่ะ ตั้งแต่การเผาผลาญสารอาหารของร่างกายผิดปกติ ระบบไหลเวียนทำงานไม่เต็มที่ ขาดการออกกำลังกาย ปล่อยให้ท้องผูกเป็นประจำ หรืออาจเกิดจากความไม่สมดุลของฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน โดยตัวแรกกระตุ้นร่างกายให้สะสมไขมัน ส่วนตัวหลังช่วยลดการสะสมไขมัน เมื่อสมดุลเสียทำให้ มีการสะสมไขมันได้มากยิ่งขึ้น สุดท้ายเลยทำให้ระบบไหลเวียนเลือดและน้ำเหลืองเสียไป เกิดการสะสมของของเหลวและสารพิษ ถ้าปล่อยไปนานๆ จะมีผลต่อคอลลาเจนและอีลาสตินในผิว โครงสร้างผิวเสียความยืดหยุ่น ผิวจึงเป็นก้อนนูน ไม่เรียบเนียน
เห็นรึเปล่าล่ะค่ะว่า เจ้าเซลลูไลท์ตัวร้ายเป็นเรื่องน่ากวนใจแค่ไหน … สาวๆ หลายคนเมื่อประสบกับปัญหานี้แล้วก็อยากจะมีวิธีจัดการให้ปัญหานี้หมดไปใช่ไหมล่ะค่ะปัญหานี้สามารถแก้ไขได้ด้วยการเลือกรับประทานอาหารที่มีกากใยมาก เน้นผัก ผลไม้ที่มีฤทธิ์ต้านออกซิเดชั่น ดื่มน้ำมากๆ อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว ตอนเช้าดื่มน้ำอุ่น 1 แก้ว ผสมน้ำมะนาวคั้น 1 ผล หรือเปลี่ยนเป็นชาสมุนไพร เช่น รางจืด หญ้าปักกิ่ง หญ้าหนวดแมว กระเจี๊ยบ ก็ได้ค่ะ เพื่อกระตุ้นการขับสารพิษออกจากร่างกาย
นอกจากนี้การเลือกรับประทานอาหารแล้ว สาวๆ ยังควรกระตุ้นการไหลเวียนเลือด และน้ำเหลือง บริเวณที่มีเซลลูไลท์ด้วยการนวดหรือขัดผิว ให้ลองผสมน้ำมันหอมระเหย 3-4 หยดกับน้ำมันนวดตัว หรือผลิตภัณฑ์ขัดผิว เช่น ขิง ตะไคร้ บ้าน เลมอนออยล์ เปปเปอร์มินท์ออยล์ จะช่วยลดไขมัน กระชับผิว และขับสารพิษออกจากผิวได้ดีขึ้นด้วยล่ะค่ะ

วันเสาร์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2553

สงกรานต์นี้โดนแดดเผา...ทำไงดี?


เมื่อผิวหนังสัมผัสแสงแดดและรังสีอัลตราไวโอเลตมากเกินไปจะทำให้ผิวหนังชั้นนอกเกิดการอักเสบ
คนส่วนใหญ่มักมีอาการผิวไหม้แดดขั้นต้น ซึ่งคุณอาจมีอาการหน้ามืดร่วมด้วย
ส่วนใหญ่จะรู้สึกเจ็บมากในช่วง 4 ชั่วโมงหลังจากโดนแดด และเป็นอยู่ 2-3 วัน
หลังจากนั้น 5-7 วัน ผิวส่วนที่ไหม้จะเริ่มหลุดลอกออก
ทำให้เย็นลงก่อน
วิธีรักษาอาการผิวไหม้แดดที่สำคัญที่สุดคือ ต้องทำให้เย็นลง ดังนั้นก่อนรักษาโดยวิธีอื่นๆ
ต้องหาทางทำให้ผิวเย็นลงเสียก่อน ใช้น้ำเย็นราดบริเวณที่ถูกแดดเผา
หรือใช้วิธีประคบเย็นสัก 15 นาที ความเย็นจะลดอาการบวมและขจัดความร้อนไปจากผิวคุณรักษาด้วยสมุนไพร
ต้มชาเขียวสักกาหนึ่ง และทิ้งไว้ให้เย็น จากนั้นนำผ้านุ่มๆ มาชุบน้ำชาให้ชุ่ม
จากนั้นนำมาประคบผิวบริเวณที่ไหม้แดด ชาเขียวมีส่วนประกอบที่ช่วยปกป้องผิวจากรังสีอัลตราไวโอเลต
และยังช่วยลดอาการอักเสบด้วย
หากถูกแดดเผาทั้งตัว
หากคุณถูกแดดเผาทั่วทั้งตัว ให้ใช้วิธีอาบน้ำเย็นแทน
โดยอาจลงไปแช่น้ำเย็นๆ ในอ่างและเติมข้าวโอ๊ตบดลงไปด้วย
ยาแก้ปวดจากครัว
ในแตงกวาและมันฝรั่งมีสารประกอบที่ช่วยให้แผลไหม้เย็นลง และยังช่วยลดอาการบวมด้วย

วันศุกร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2553

3ประเทศที่มีสงกรานต์เหมือนเมืองไทย

รู้มั้ยคะว่า ไม่ใช่แค่เมืองไทยที่มีประเพณีสงกรานต์ แต่ยังมีอีกหลายประเทศที่มีประเพณีแนวๆ นี้อีกด้วย แต่อาจจะเปลี่ยนจากน้ำเป็นสาดอย่างอื่น ว่าแต่มีที่ไหนบ้างนะ.....
เทศกาล Wet Monday
ที่ไหน : ประเทศโปแลนด์
เมื่อไร : วันจันทร์หลังเทศกาล Easter (ปีนี้จัดเมื่อวันจันทร์ที่ 5 เม.ย.ที่ผ่านมา)
ทำอะไร : สาดน้ำ
ในช่วงอีสเตอร์นั้น เรียกได้ว่าเป็นเทศกาลที่สำคัญของยุโรป ร้านรวงต่างๆ จะหยุดหมด ผู้คนจะใช้เวลาอยู่ที่บ้านกับครอบครัว แต่ว่าที่ประเทศโปแลนด์นั้นมีเทศกาลหนึ่งซึ่งมีชื่อว่า Dyngus Day แต่ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น Wet Monday โดยเป็นประเพณีที่เด็กผู้ชายจะวิ่งไปตามถนนและใช้น้ำสาดเด็กผู้หญิง (ปัจจุบันชายจะสาดหญิงหรือหญิงจะสาดชายก็ได้) อุปกรณ์ที่ใช้ส่วนมากก็จะเป็นขวดหรือถังใส่น้ำ หรืออาจจะเป็นปืนฉีดน้ำเหมือนบ้านเราก็ได้ หรือถ้าผู้ชายคนไหนเฟี้ยวๆ หรือกล้าๆ หน่อย อาจจะใช้โคโลญจน์สาด(เบาๆ) ที่ขาของผู้หญิงก็ได้

เทศกาล Holi
ที่ไหน : ประเทศอินเดีย
เมื่อไร : ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงต้นเดือนมีนาคม
ทำอะไร : สาดสีฝุ่น
เป็นประเพณีเก่าแก่ของอินเดียที่รู้จักกันในชื่อ Holika หรือ Holi โดยเชื่อว่าเป็นประเพณีที่มีมาแล้วอย่างยาวนานก่อนศาสนาคริสต์จะกำเนิดเสียอีก โดยสีที่นำมาเล่นนั้นเป็นสีฝุ่นที่ทำมาจากดอกอัญชัน ซึ่งเชื่อว่าเป็นสมุนไพรที่ช่วยสร้างภูมิต้านทานให้แก่ร่างกายอีกด้วย โดยที่มาของประเพณีนั้น เนื่องจากในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์เป็นช่วงคาบต่อระหว่างฤดูหนาวถึงฤดูใบไม้ผลิ แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติที่ดอกไม้เริ่มผลิบาน ดังนั้นคนอินเดียจึงเชื่อว่าพวกเขาก็จำเป็นต้องปรับตัวให้เข้าใกล้ชิดกับธรรมชาติมากขึ้น จึงออกมาเฉลิมฉลองกันด้วยการนำสีฝุ่นซึ่งสกัดจากธรรมชาติมาสาดเล่นกันอย่างสนุกสนานนั่นเอง

เทศกาล Tomoato Fight (The Tomatina)
ที่ไหน : เมือง Bunol แคว้นวาเลนเซีย ประเทศสเปน
เมื่อไร : วันพุธสุดท้ายของเดือนสิงหาคม
ทำอะไร : โยน/ปา/ สาด มะเขือเทศ
จัดครั้งแรกในปี 1945 ได้ชื่อว่าเป็นเทศกาล(ต่อสู้ด้วย)อาหารที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยในแต่ละปีจะมีผู้เข้าร่วมงานกว่าสี่หมื่นคน และใช้มะเขือเทศรวมทั้งสิ้นประมาณ 100 ตันในการปาใส่กัน โดยในตั้งแต่เช้าจะมีรถบรรทุกขนมะเขือเทศเข้ามาในเมือง และหากได้ยินเสียงสัญญาณพลุดังขึ้น หมายถึงให้เริ่มปามะเขือเทศได้ และถ้าได้ยินเสียงพลุดังขึ้นอีกครั้งหมายถึงให้หยุดปาทันที โดยมีกฎที่ผู้เข้าร่วมงานต้องปฏิบัติตามคือ ต้องทุบมะเขือเทศให้เละก่อนจะนำมาปา (ถ้าเป็นลูกใหญ่ ปาไปหัวอาจแตกได้นะ) นอกจากนี้ในงานยังมีขบวนพาเหรดและการแสดงดนตรีอย่างยิ่งใหญ่อีกด้วย

วันอาทิตย์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2553

9 เคล็ดลับ ขจัดไขมันส่วนเกิน


การลดปริมาณไขมันในช่วงที่คุณกำลังลดน้ำหนักนั้น ไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องพบเจอกับชีวิตที่มีแต่อาหารแห้งๆ หรือคุกกี้ที่ไร้ไขมัน ในตู้กับข้าวของคุณ ไม่ว่าคุณจะต้องการลดน้ำหนักหรือเพียงแค่จะตัดไขมันออก ทำตามขั้นตอนต่อไปนี้แล้วคุณจะประสบความสำเร็จในการลดน้ำหนัก
1. ลดการทานอาหารประเภทเนื้อสัตว์ที่มีไขมันสูง และรวมไปถึงสัตว์เนื้อแดง สัตว์ปีก และอาหารในชีวิตประจำวันบางอย่าง เช่น นม ครีม และเนย ถ้าคุณเลือกกินเนื้อ ให้เลือกเนื้อชิ้นที่มีมันน้อยที่สุด สัตว์ปีกและปลาสามารถทานได้
2. หาอ่านไอเดียใหม่ๆ จากคู่มืออาหารเพื่อสุขภาพบ่อยๆ
3. เพิ่มปริมาณอาหารจำพวกผักสดและผลไม้ ถ้าทานสดได้ก็จะดี
4. เปลี่ยนการปรุงอาหาร มาเป็นจำพวก ย่าง อบ นึ่ง หรือเคี่ยว แทนการทอด ผัด
5. ถ้าจำเป็นต้องทอดหรือผัดให้ใช้น้ำมันมะกอกดีกว่าการใช้เนยหรือน้ำมันพืชธรรมดามาปรุงอาหาร
6. เลือกกินสิ่งที่มีไขมันต่ำ หรือไม่มีไขมัน เช่น พวกโยเกิร์ตที่ไม่มีไขมัน กินชีสหรือดื่มนมที่มีไขมันต่ำด้วย
7. งดกินหนังไก่ หรือเนื้อสัตว์ที่มีปริมาณไขมันมากๆ
8. ลดการกินถั่ว เนยถั่วหรือมะกอก เพราะสิ่งเหล่านี้มีไขมันสูง
9. ส่วนเรื่องของว่างก็ทานเป็นผลไม้สด มันฝรั่งก็ควรผ่านการอบ มากกว่าการทอด หรือไม่ก็ทานข้าวโพดคั่ว (Popcorn) ที่ใช้การอบ (Air popped)
สังเกตดูให้ดีว่าถ้าดูตารางสารอาหาร แคลอรี่ต่ำ บางครั้งอาจไม่ได้หมายความว่าไขมันต่ำนะ

วันอาทิตย์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2553

อย่ามองข้าม หัวฝักบัว แหล่งสะสมเชื้อโรค


หัวฝักบัว แหล่งสะสมเชื้อโรคที่ไม่ควรมองข้าม (Woman's Story)

ใครที่ใช้ฝักบัวอาบน้ำอยู่เป็นประจำ ต้องมาฟังทางนี้เลยนะคะ เพราะหากคุณไม่ระวัง อาจเป็นที่มาของโรคปอดในไม่ช้าแน่นอนค่ะ

เนื่องจากได้มีการสุ่มตรวจวิเคราะห์หาเชื้อโรคในหัวฝักบัว ตามสถานที่ต่าง ๆ กว่า 9 เมือง พบว่าร้อยละ 30 มีเชื้อมัยโคแบคทีเรียม เอเวียม ปนเปื้อนอยู่มาก ตามปกติเชื้อตัวนี้พบในน้ำประปาทั่วไป แต่สะสมอยู่ในหัวฝักบัวมากกว่าระดับที่พบในน้ำประปาถึง 100 เท่า ซึ่งหากผู้ใช้เปิดให้น้ำจากฝักบัวโดนหน้าตั้งแต่ครั้งแรก จะทำให้ได้รับเชื้อดังกล่าวสูงมาก และเสี่ยงต่อการเป็นโรคปอดตามมา

จากการตรวจพบอีกว่าในฝักบัวแบบที่เป็นโลหะ จะพบการสะสมของเชื้อโรคน้อยกว่าแบบพลาสติก ดังนั้นการแก้ไขผู้ใช้ก็ควรเปลี่ยนหัวฝักบัวมาใช้แบบโลหะ ที่มีตัวกรองช่วยในการลดการสะสมของเชื้อโรค หรือเปลี่ยนไปอาบน้ำในอ่างแทน ก็จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการรับเชื้อเข้าสู่ปอดได้เช่นกัน

วันเสาร์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2553

คุณพูดได้กี่ภาษา


"แคน ยู สปีค อิงลิช ?" "แคน ยู สปีค ไชนีส ?" "แคน ยู สปีค แจแปนนิส ?" หนุ่มๆ หลายคนคงเคยเจอคำถามต่างๆ ประมาณนี้ ส่วนใหญ่จะยิ้มแหยๆ พร้อมกับตอบว่า "อ่า เอ่อ.. อะ ลิตเติ้ล" หรือท่องคาถาประจำใจเอาไว้ว่า "โน ไอ แค้นท์"
ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เราจะไม่เชี่ยวชาญทางด้านภาษาอื่น ที่นอกเหนือจากภาษาไทย แต่หนุ่มที่สามารถพูดภาษาที่สอง หรือที่สามได้เนี่ย ก็มีเสน่ห์ไม่เบาเลย กิจกรรมยามปิดเทอม พี่มิ้งเลยอยากชวนหนุ่มๆ เสริมทักษะด้วยการเรียนรู้ภาษาอื่น มีใบสมัครเรียนกันหรือยัง ?
ทำไมต้องเรียน
หลักการและเหตุผล (ดูวิชาการมาก) ของการเรียนภาษาต่างประเทศไม่ว่าจะ อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน ไล่มาจนถึงเอเซีย ญี่ปุ่น จีน เกาหลี แต่ไม่ต้องขนาดแอฟริกานะ เพราะยังไม่เป็นที่กว้างขวางมาก ก็เพราะว่า ภาษาเหล่านี้เป็นข้อได้เปรียบในหลายๆ ด้าน ทั้งในตอนสมัครศึกษาต่อก็ใช้ไปข้อได้เปรียบ หรือทำให้มีตัวเลือกในสาขาวิชาต่างๆ หรือในด้านสังคมก็ทำให้หนุ่มๆ นักสปีค ดูเด่นเป็นเสน่ห์ สามารถตอบโต้เจ้าของภาษาได้อย่างคล่องแคล่ว มีทั้งการเรียนภาษา ยังเป็นการเรียนรู้วัฒนธรรมของประเทศต่างๆ ที่มักเกี่ยวเนื่องกับภาษาอีกด้วย
อนาคตสดใส
หากหนุ่มๆ ฝึกปรือภาษาต่างๆ อย่างต่อเนื่องเชี่ยวชาญ ไม่ละทิ้งระหว่างทาง จะเป็นตัวช่วยที่ดีนำทางเลือก และความสำเร็จมาให้อย่างมากมาย จะเป็นนักแปลภาษาแปลหนังสือ, มัคคุเทศก์ พาชาวต่างชาติท่องเที่ยวประเทศไทย หรือเก่งมากๆ ก็เป็นครูสอนภาษาเสียเองเลย หรือหนุ่มๆ โตไปถึงขนาดเรียนจบ ก็มีงานที่ต้องใช้ภาษาเป็นสำคัญ รอให้เลือกอยู่
หนทางพิชิตภาษาต่างดาว
ดูเหมือนว่าภาษาที่เราไม่เข้าใจ จะดูยุ่งยากจนบางทีเราแอบคิดว่า มันเป็นภาษาของดาวดวงไหนในระบบสุริยะจักรวาล หรือเปล่า? แต่จากประสบการณ์ในการไปนั่งท่อง หนีห่าว, ไจ้เจี้ยน, เฉิน เมอ ก็พอจะได้เคล็ดลับในการจะบรรลุภาษาต่างประเทศเหล่านี้เช่นกัน
- ในห้องเรียน ตั้งใจเรียน,ไม่กลัวที่จะหัดออกเสียง (ถ้ามัวแต่กลัวผิด อาจไม่รู้สิ่งที่ถูก), ทำแบบฝึกหัด ขยันทบทวนบทเรียน, อ่านบทต่อไปที่จะเรียนล่วงหน้า, เพื่อจะได้เรียนรู้ได้เร็วและสามารถถามข้อสงสัยผู้สอนได้
- เสริมเขี้ยวเล็บ ด้วยการหัดฟังเพลงหรือดูรายการของภาษาที่เรียนอยู่, หัดแชทหรือพูดคุยกับเจ้าของภาษา, และฝึกอ่านเขียนตัวอักษรด้วยนะ
เป็นเคล็ดเล็กน้อย ที่อยากแนะนำสำหรับนักเรียนภาษา แอบหยิบไปใช้ตอนเรียนภาษา ในช่วงปิดเทอมอย่างนี้ได้นะ เวลามีใครมาถามว่า "แคน ยู สปีค..." เราก็ตอบไปเลยว่า "เยสสส!!!"

วันเสาร์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2553

รู้ไว้ใช่ว่า : วิธีป้องกันตัวเอง เมื่อเจอความรุนแรง


มีคนเคยกล่าวไว้ว่า "ที่ที่อันตรายที่สุด คือที่ที่ปลอดภัยที่สุด" แต่ด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ทำให้คนเราต้องระแวดระวังตัวอยู่ตลอดเวลา เพื่อความปลอดภัยทั้งร่างกาย จิตใจ และทรัพย์สิน วันนี้จึงนำข้อควรปฏิบัติเมื่อผู้หญิงต้องอยู่ในที่สาธารณะโดยลำพัง ไม่ว่าจะในลิฟต์ ห้องน้ำสาธารณะ หรือแม้กระทั่งบ้านของตัวเอง มาฝากกันค่ะ
กรณีอยู่ในสถานการณ์คับขัน
หากคนร้ายประชิดตัว และอยู่กันตามลำพัง พยายามรวบรวมสติอย่าตกใจจนเกินไป หาวิธีการช่วยเหลือตนเองเฉพาะหน้า โดยการใช้น้ำเย็นเข้าลูบ หรือพูดจาถ่วงเวลาให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อหาทางหลบหนีออกมาจากสถานการณ์นั้น ๆ
พยายามไม่ยั่วยุคนร้าย เพราะอาจทำให้คนร้ายใช้ความรุนแรงมีหลายจุดที่อาจจู่โจมคน ร้ายได้ เช่น ดวงตา อวัยวะเพศ แต่ต้องให้แน่ใจว่าสามารถทำให้คนร้ายเจ็บจริงจนหยุดการกระทำ หรือเสียการทรงตัวชั่วขณะ เพื่อให้สามารถหลบหนีออกมาจากสถานการณ์ตรงนั้นได้ ไม่เช่นนั้นอาจทำให้สถานการณ์แย่กว่าเดิม
กรณีอยู่ท่ามกลางฝูงชนหรือบริเวณที่มีผู้คน เช่น ถูกอนาจารบนรถเมล์ ไม่ควรอาย ให้ร้องขอความช่วยเหลือดัง ๆ หากพบว่ามีคนเดินตามในที่เปลี่ยว ควรตะโกนว่า "ไฟไหม้" อย่าตะโกนว่า "ช่วยด้วย" แล้ววิ่งหนีให้เร็วที่สุด ควรแจ้งความหรือให้เจ้าหน้าที่ตำรวจลงบันทึกประจำวันเพื่อนำตัวคนทำผิดมาลง โทษ หรืออย่างน้อยเพื่อเป็นการตักเตือนผู้กระทำผิด ไม่ว่าในกรณีใดก็ตาม สิ่งที่สำคัญคือต้องตั้งสติให้มั่นเพื่อที่จะเลือกวิธีเอาตัวรอดได้อย่าง เหมาะสม
กรณีความรุนแรงในครอบครัว
ไม่ทำให้เหตุการณ์รุนแรงยิ่งขึ้น เช่น ยุติการโต้เถียงในขณะที่ต่างฝ่ายต่างมีอารมณ์โกรธ แล้วพยายามหันหน้ามาปรึกษาพูดคุยกันเมื่อต่างฝ่ายอยู่ในสภาพที่พร้อม กรณีที่ไม่สามารถพูดคุยกันได้โดยตรง อาจให้ผู้ใหญ่ที่นับถือ หรือญาติพี่น้องมาเป็นตัวกลางในการพูดคุย
กรณีที่ถูกทำร้ายหรือไม่มั่นใจในความปลอดภัยให้พยายามเลี่ยงจากสถานการณ์ หรือ สถานที่นั้น โดยอาจติดต่อขอความช่วยเหลือจากตำรวจ ญาติพี่น้อง หรือเพื่อน หรือบุคคลที่ไว้ใจ หรือย้ายที่อยู่ชั่วคราวจนกว่าปัญหาจะคลี่คลาย
โทรศัพท์ขอคำปรึกษาหรือขอความช่วยเหลือจากญาติพี่น้อง เพื่อน หน่วยงานที่ให้ความช่วยเหลือ หากยังไม่ได้ผล ควรตัดสินใจใช้สิทธิตามกฎหมาย แจ้งความต่อตำรวจ เพราะไม่มีใครมีสิทธิทำร้ายผู้อื่นแม้จะเป็นสามี
ตั้งสติพยายามทบทวนเรื่องราว หาเหตุผลและวิธีการแก้ไขปัญหา รวมถึงพิจารณาว่าหากจะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันต่อไปควรมีข้อตกลงกันอย่างไรเพื่อ ไม่ให้เกิดเหตุการณ์ขึ้นอีก
ไม่ระบายอารมณ์กับเด็ก โดยดุด่า ทุบตี หรือทำร้ายเพื่อประชดอีกฝ่ายหนึ่ง
กรณีถูกล่วงละเมิดทางเพศ
ควรรีบให้แพทย์ตรวจร่างกายอย่างเร่งด่วนภายใน 24 ชั่วโมง ไม่ควรอาบน้ำหรือชำระล้างร่างกายหรือเปลี่ยนเสื้อผ้า เพื่อให้สามารถเก็บหลักฐานได้ชัดเจนและครบถ้วน เพราะการตรวจร่างกายอย่างเร่งด่วนไม่ว่าจะตัดสินใจดำเนินคดีหรือไม่ จะเป็นผลดีในแง่การป้องกันการติดโรคจากเพศสัมพันธ์ ป้องกันการตั้งครรภ์ ซึ่งสามารถทำได้ดีภายใน 48 ชั่วโมง และเมื่อตัดสินใจที่จะแจ้งความร้องทุกข์เมื่อใด พยานหลักฐานทางการแพทย์เหล่านี้จะเป็นประโยชน์ว่าถูกละเมิดทางเพศจริง เพราะการดำเนินคดีการละเมิดทางเพศในประเทศไทยให้ความสำคัญกับผลการตรวจร่าง กายของแพทย์เป็นสำคัญ
หลีกเลี่ยงการอยู่คนเดียวตามลำพัง เพราะอาจนำไปสู่การตัดสินใจที่เป็นผลร้ายกับตนเอง เช่น ทำร้ายตนเอง พยายามฆ่าตัวตาย ให้กำลังใจตนเอง ไม่ควรลงโทษตนเอง เพราะไม่มีผู้ใดต้องการถูกข่มขืน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจึงไม่ใช่ความผิดของตนเอง แต่เป็นความผิดของชายที่มากระทำต่างหาก ให้รำลึกอยู่เสมอว่า คุณค่า อนาคต ความสามารถของเรามิได้สูญเสียไปกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ควรตัดสินใจคลี่คลายปัญหาโดยอาจหาบุคคลที่ไว้ใจได้ เช่น พ่อแม่ เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเพื่อร่วมกันคิดแก้ไขปัญหาหรือแจ้งความนำผู้กระทำผิด มาลงโทษ เพื่อไม่ให้เขามีโอกาสมากระทำซ้ำ หรือไปกระทำกับคนอื่นอีก
ข้อควรจำทางกฎหมาย
เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสสำคัญในการที่จะพิทักษ์สิทธิตามกฎหมายของตนเอง ผู้ถูกข่มขืนที่มีอายุเกิน 15 ปี ระยะเวลาที่สามารถแจ้งความร้องทุกข์ต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจมีเพียง 3 เดือน นับจากวันเกิดเหตุเท่านั้น สำหรับผู้ถูกข่มขืนที่อายุไม่ถึง 15 ปี เป็นกรณีที่ยอมความไม่ได้ มีระยะเวลาแจ้งความร้องทุกข์ภายใน 10 ปี นับแต่วันที่เกิดเหตุ

วันเสาร์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2553

แมวพันธุ์ Exotic เจ้าเหมียวตาโต๊โต


แมวอะไรหน้าบูด จมูกหัก แต่น่าร้ากกสุด ๆ หลายคนอาจเข้าใจผิดว่า แมวพันธุ์ Exotic ที่ห็นอยู่นี้เป็นเหมียวพันธุ์ เปอร์เซีย แม้จะไม่ถูกแต่ก็ไม่ผิดซะทั้งหมด เพราะเจ้าแมวพันธุ์นี้ เกิดจากการผสมพันธุ์ระหว่าง แมวเปอร์เซีย กับ แมวพันธุ์อเมริกันขนสั้น (American Shorthair) ทำให้ได้เจ้าเหมียวพันธุ์ Exotic หลายสายพันธุ์ เช่น Exotic Blue Tabby, Exotic Red Tabby, Exotic Cream Tabby และมีหลายสีสัน น่ารักน่าเลิฟเช่นนี้แล
สำหรับลักษณะทั่วไปของ แมวพันธุ์ Exotic ถูกพัฒนาสายพันธุ์ให้มีลักษณะทุกอย่างเหมือนกับ แมวเปอร์เซีย ไม่ว่าจะเป็นลักษณะหัวกลม กะโหลกใหญ่ ใบหูเล็กกลม จมูกหักเล็กน้อย ยกเว้นอยู่หนึ่งอย่างที่เป็นลักษณะเด่นของ Exotic ก็คือ ขนที่หนา แน่น นุ่มสั้นคล้ายกับกำมะหยี่ ที่สำคัญขนอันสวยงามของแมวพันธุ์ Exotic ยังต้องการการบำรุงรักษาน้อยกว่าแมวเปอร์เซียโดยทั่ว ๆ ไป เพราะไม่จับตัวเป็นก้อนหรือพันกันยุ่งเหยิง

ส่วนเรื่องอุปนิสัยของ แมวพันธุ์ Exotic แทบไม่มีความแตกต่างจาก แมวเปอร์เซีย เลย แมว Exotic เป็นแมวที่ซื่อสัตย์ต่อเจ้าของ ไม่ค่อยหงุดหงิด และอดทน อย่างไรก็ดี คุณอาจแทบไม่ได้ยินเสียงร้องของแมวพันธุ์นี้ เพราะมันค่อนข้างจะสงบ เงียบ และหากมันต้องการความสนใจ มันก็เพียงแค่นั่งอยู่หน้าคุณ กระโดดมานั่งบนตัก หรือไม่ก็เอาจมูกชื้น ๆ ของมันมาแตะที่หน้าคุณ นอกจากนี้ ยังพบว่า แมวพันธุ์ Exotic บางตัวอาจจะชอบนั่งอยู่บนไหล่ และกอดคุณเวลาคุณเล่นด้วย
ใครที่อยากเลี้ยงแมวสายพันธุ์ต่างประเทศ หรือแมวเปอร์เซีย แต่ไม่ค่อยมีเวลาดูแลขน แมวพันธุ์ Exotic ก็อาจเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ เพราะมันเป็นแมวไม่ค่อยจะยุ่งยากที่จะเลี้ยงไว้ในบ้าน และไม่ค่อยจะเรียกร้องความสนใจเท่าใดนัก ก็เหมือนสัตว์เลี้ยงอื่น ๆ โดยทั่วไป ที่ชอบเล่น สนุกที่จะกระโดดเพื่องับของเล่นหรือแท่งไม้ รวมทั้งมีกิจวัตรประจำวันสุดชิลอันได้แก่ บิดขี้เกียจ และนอน นอน นอน

วันเสาร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

7 มหัศจรรย์แห่งชีวิต และ 7 หลักคิดจาก ว.วชิรเมธี

ช่วงเทศกาลแห่งความสุขนี้ ใครที่กำลังเป็นทุกข์ ทั้งทางกายและทางใจ และกำลังมองหาหนทางในการก้าวไปสู่การดับความทรมานใจนั้นๆ ลองปรับทัศนะของชีวิต ด้วยแนวคิดเชิงบวก ข้อคิดดีๆ จาก พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี หรือ ว.วชิรเมธี
ว.วชิรเมธี พระ นักเทศน์ชื่อดัง ได้ให้ข้อคิดในหลักธรรมแห่งการดำเนินชีวิต ในหนังสือชุด “มหัศจรรย์แห่งชีวิต” ประกอบ ด้วย ซีดี และหนังสือรวบรวมแนวคิด ซึ่งผู้ฟังและผู้อ่านสามารถนำข้อคิดที่ได้ไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน เพื่อบรรเทาความทุกข์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะ ในสถานการณ์ปัจจุบัน กับภาวะเครียดที่รุมเร้าคนไทย ทั้งวิกฤตการเมืองและวิกฤตเศรษฐกิจสำหรับ 7 หลักคิดในเชิงบวก ที่สามารถหยิบมาเป็นยาชูกำลังใจในยามท้อแท้ได้อย่างดีเยี่ยม โดยใน 7 หลักคิด มีข้อคิดดีๆ อีก 7 ข้อ เป็นพลังมหัศจรรย์ของ 7x7 ได้แก่
1. ความคิดดีๆ เป็นที่มาแห่งความสุข แน่นอนว่าเมื่อเรามีความคิดดีๆ โลกก็จะดีตามอย่างที่เราคิด ดังที่ท่านว่าไว้ในหนังสือเล่มนี้ว่า “โลกเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับว่าเราใส่แว่นตาสีอะไรมองโลก หากมองโลกในแง่ดี ชีวิตมีแต่สิ่งรื่นรมย์ หากมองโลกในแง่ร้าย ชีวิตมีแต่ความวุ่นวายและทุกข์ระทม”
2. ปัญญาดีย่อมมีความสุข คนมีปัญญาย่อมใช้ปัญญาในการแก้ปัญหาเพื่อให้พ้นทุกข์ ดังนั้น สำหรับคนมีปัญญา วิกฤตอยู่ไหน ปัญญาอยู่นั่น ส่วนคนด้อยปัญญา โอกาสอยู่ไหน วิกฤตอยู่นั่น จงเรียนรู้ที่จะเปลี่ยนปัญหาให้เป็นปัญญา เปลี่ยนอุปสรรคเป็นอุปกรณ์3. ชีวิตของคนดีคือชีวิตที่มีความสุข ดังท่านว่า ดอกไม้หอมได้บางดอก แต่มนุษย์หอมได้ทุกคน หากเขาเป็นคนดี กลิ่นดอกไม้แม้หอมขนาดไหน ก็หอมได้แต่ตามลมเท่านั้น ส่วนกลิ่นความดีของคนดีนั้น หอมหวนทวนลม ฟุ้งกระจายไปในทิศทั้งสี่ ดอกไม้ผลิบานแล้วไม่นานก็ร่วงโรย แต่ความดีของคนนั้น สถิตเป็นนิรันดร์เหนือกาลเวลา
4. ปฏิสัมพันธ์ดีก็มีความสุข ซึ่งเป็นการเลือกคบมิตร โลกนี้มีมิตรอยู่ 3 ประเภทคือ 1. ปาปมิตร เพื่อนชั่ว จงอย่าคบ 2. กัลยาณมิตร เพื่อนดี จงคบ 3. พันธมิตร เพื่อนที่ผูกพันกันด้วยผลประโยชน์ จงระวัง
5. ทำงานดีก็มีความสุข ท่านว่าไว้ คนจำนวนมากเป็นทุกข์ขณะทำงาน แต่เบิกบานเฉพาะเสาร์-อาทิตย์ โดยหารู้ไม่ว่า ในหนึ่งสัปดาห์มีเสาร์-อาทิตย์แค่สองวัน จงเป็นสุขขณะทำงาน จงเบิกบานขณะหายใจ
6. มองโลกในแง่ดี ชีวิตมีความสุข ดังผู้รู้ท่านหนึ่งกล่าวว่า “ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้มันถูกอยู่แล้ว มีแต่ความเห็นของเราเท่านั้นที่ผิด ใครทำความเข้าใจคำกล่าวนี้ได้อย่างลึกซึ้ง คนนั้นจะไม่ทุกข์ และเขาจะไม่หวั่นไหว ในความผันแปรของชีวิต สิ่งใดเกิดขึ้นมาเขาจะอุทานอยู่เสมอว่า “มันเป็นเช่นนั้นเอง”
7. ครอบครัวดีทวีความสุข ครอบครัวคือพื้นฐานสำคัญของชีวิต บุตรธิดาคืออนุสาวรีย์ของพ่อแม่ หากลูกเป็นคนดี อนุสาวรีย์ของพ่อแม่ก็งดงาม หากลูกเลวทราม อนุสาวรีย์ของพ่อแม่ก็อัปลักษณ์

วันอาทิตย์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

Leonardo Da Vinci : จิตรกร ช่างแกะสลัก สถาปนิก วิศวกร หรือนักวิทยาศาสตร์?


อัตชีวประวัติของอัจฉริยะ ลีโอนาโด ดา วินชี เป็นอีกเรื่องราวหนึ่ง ที่น่าสนใจ
และก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่ง ที่ทำให้พายฟันธงได้ว่า "การอ่านทำให้คุณมหัศจรรย์"
เพราะไม่ว่าจะเป็น จิตรกร ช่างแกะสลัก สถาปนิก วิศวกร หรือ นักวิทยาศาสตร์ ก็รวมอยู่ในคนคนนี้
ลีโอนาโด ดาวินชี เกิดเมื่อ 15 เมษายน ปี ค.ศ. 1452 (ประมาณ 555 ปีแล้ว) ในเมือง Vinci แถบ Florence ประเทศอิตาลี
ลีโอนาโดถือเป็นศิลปินผู้ยิ่งใหญ่คนนึง ในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา (Renaissance)
อีกทั้งยังได้รับการยอมรับอย่างมากในด้านวิทยาศาสตร์อีกด้วย
กว่าศตวรรษหลังจากเขาเสียชีวิตลง นวัตกรรมด้านการวาดภาพของเขากลับมีอิทธิพลอย่างมาก
กับหลักสูตรวิชาจิตรกรรมในอิตาลี ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันนั้น ด้านวิทยาศาสตร์ก็ได้รับประโยชน์
จากการศึกษาของดาวินชี ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง กายวิภาคศาสตร์ (anatomy) ทัศนศาสตร์ (optics) และเรื่องระบบไฮดรอลิก (hydraulics) ที่ใช้น้ำในการขับเคลื่อน ก็เป็นสิ่งที่ลีโอนาโด คิดไว้ก่อนล่วงหน้าการพัฒนาของวิทยาศาสตร์สมัยใหม่หลายขุมนัก
ถ้าสมัยนั้นมีรางวัลโนเบล ชายผู้นี้คงจะกวาดไปซะแทบทุกแขนง...

ลีโอนาโด ดา วินชี เป็นบุตรนอกกฎหมาย ของ Ser Piero กับ หญิงสาวชนบท
เขาจึงไม่ได้รับการศึกษาอย่างเป็นแบบแผนเหมือนเด็กผู้ชายทั่วไป
แต่อย่างไรก็ตาม ลีโอนาโดกลับได้ความรู้มากมาย
จากความสุขในการชอบอ่านผลงานต่างๆ ของนักวิชาการกรีกโรมันโบราณด้วยตัวเขาเอง
ราวปี 1466 ลีโอนาโดมีโอกาสได้เข้าฝึกงานกับ จิตรกรและนักแกะสลักชาวฟรอเรนไทน์ (Florentine) ชื่อ แอนเดรีย เดล เวอรอคชิโอ (Andrea del Verrocchio) ผู้ซึ่งเป็นจิตรกรเอกของเมืองฟลอเรนซ์ในยุคนั้น
ว่ากันว่า ลีโอนาโด ซึ่งเป็นศิษย์ สามารถวาดภาพได้ดีกว่า Verrocchio มาก
จนทำให้ Verrocchio ตัดสินใจเลิกวาดภาพเลยทีเดียว
เมื่ออายุได้ 22 ปี เขาก็ได้เป็น สมาชิกของ guild of St. Luke โดยได้จารึกชื่อไว้ว่าเป็น จิตรกร
ภายในปี 1478 ลีโอนาโด จึงกลายเป็นศิลปินอย่างเต็มตัว โดยมีภาพวาดชิ้นใหญ่ภาพแรกคือ Adoration of the Magi
ซึ่งเป็นภาพที่ ในที่สุดแล้วลีโอนาโดก็ไม่ได้วาดให้เสร็จ ผลงานอื่นๆ ในช่วงเดียวๆ กันของเขา ได้แก่
ผลงานที่เป็นที่รู้จักกันภายใต้ชื่อ Benois Madonna, ภาพ portrait ของ Ginevra de Benci และ
อีกภาพที่วาดไม่เสร็จเช่นกัน Saint Jerome


มีกิตติศัพท์ คำเล่าลือเกี่ยวกับลีโอนาโดว่า สมัยเป็นหนุ่มนั้น
เป็นคนที่หน้าตาดีมาก เป็นเด็กหนุ่มที่น่าจับตามองที่สุด
""beautiful, strong, graceful in all his actions,
and so charming in conversation that he drew all men's spirits to him."
ซึ่งพอจะแปลความได้ว่า
"ความงดงาม, ความแข็งแรง, ความสง่า มีอยู่ในทุกการกระทำของเขาและ ความมีเสน่ห์ ในการปฏิสันถาร ซึ่งเขาได้ดึงดูดจิตใจ ของทุกคนสู่เขา "

แต่ทว่า...

ยังมีอีกคำกล่าวนึง
"Leonardo and His World
He was left handed in a world where such were considered demon filled.
He was an outspoken vegetarian in a world of meat eaters.
He was a pacifist in a world where force was a tool of government.
He was a gay man in world where only heterosexuals were okay."

"ลีโอนาโด และ โลกของเขา
เขาผู้ซึ่งถนัดซ้าย มีชีวิตอยู่ในโลกซึ่งมองการถนัดซ้ายเป็นเหมือนปีศาจสิงอยู่
เขาทานมังสวิรัติ ท่ามกลางโลกของมังสโภชนา
เขาเป็นผู้ยึดมั่นในสันติ ท่ามกลางโลกซึ่งใช้อำนาจเป็นเครื่องมือในการปกครอง
เขาเป็นเกย์ ท่ามกลางโลกที่คิดว่ารักต่างเพศเท่านั้นจึงจะถูกต้อง"

วันศุกร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

3 ร้านช็อกโกแลตชื่อดังในนิวยอร์กเตรียมพร้อมแล้วสำหรับวาเลนไทน์นี้


Mariebelle มีช็อกโกแลตร้อนที่มีชื่อเสียงมาก โดยลูกค้า
สามารถนั่งจิบช็อกโกแลตร้อนๆ ได้ภายในร้านที่มีบรรยากาศสงบ
ฃนอกจากนี้ยังมีช็อกโกแลตให้เลือกกว่า 27 ชนิด เช่น รสมะนาว
รสถั่วฮาเซล รสชา

เมนูเครื่องดื่มช็อกโกแลตที่ได้รับความนิยม
• Aztec Hot Chocolate
• Aztec Spicy Hot Chocolate
• Aztec Mocha Hot Chocolate
• Aztec Iced Chocolate
• Iced Chocolate With Orange Juice
• Iced Chocolate With Coconut



Martine's Chocolate ก่อตั้งในปี 1992
เป็นร้านช็อกโกแลตที่ถูกจัดอยู่ในอันดับ 1 ของร้านช็อกโกแลตที่ดีที่
สุดจากนิตยสารผู้บริโภคฉบับหนึ่ง และได้รับการจัดอันดับให้เป็นร้าน
ช็อกโกแลตที่มีคุณภาพดีที่สุดในปี 2008-2010 จากคู่มือของ
Zagat Gourmet เนื่องจากเป็นร้านช็อกโกแลตที่เน้นทำสดๆ
แฮนด์เมด ซึ่งแสดงวิธีทำกันสดๆ ต่อหน้าลูกค้า และมีขั้นตอนการ
เลือกวัตถุดิบที่สด ธรรมชาติ และต้องดีที่สุดในโลก เช่น เนยจาก
ฝรั่งเศส ช็อกโกแลตจากเบลเยี่ยม ครีมจากอเมริกา ส่วนเมนูที่ดัง
และขึ้นชื่อคือ Chocolate Sugar Free ที่กินแล้วไม่อ้วนนั่นเอง


Vosges เป็นร้านที่จัดตกแต่งอย่างสวยงามเพื่อให้ลูกค้า
ได้ชิมรสชาติช็อกโกแลตอย่างเพลิดเพลิน ซึ่งช็อกโกแลตที่นำมา
ขายถูกผลิตอยู่ในครัวใหญ่ซึ่งตั้งอยู่ในชิคาโก้ เมนูที่ขึ้นชื่อว่า
แปลก แต่มีรสชาติที่เข้ากันและอร่อยอย่างไม่น่าเชื่อคือ เบคอน
ช็อคโกแลต เป็นเนื้อเบคอนในช็อกโกแลตนม

เมนูอื่นๆ ที่ขึ้นชื่อ
• Full Moon Brownies
• Love Goddess Cake
• Chocolate, Chili Mole Marinade

วันเสาร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

23 กันยา วันลาโลกของ "ซิกมุนด์ ฟรอยด์" บิดาแห่งจิตวิเคราะห์


(23 ก.ย.) เมื่อ 65 ปีที่แล้ว (ปี 1939) เป็นวันสุดท้ายที่ ซิกมุนด์ (ซิกมันด์) ฟรอยด์ นักจิตวิทยาชาวออสเตรีย บิดาแห่งศาสตร์ที่ว่าด้วยจิตวิทยาของโลกได้มีลมหายใจอยู่บนโลก
ซิกมุนด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud) นักจิตวิทยาชาวออสเตรียเชื้อสายยิวเกิดเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 1856 ในจักรวรรดิออสเตรียซึ่งปัจจุบันคือเมืองไฟรเบิร์ก รัฐโมราเวีย สาธารณรัฐเช็ก ชื่อเดิมของเขาเมื่อแรกเกิดคือ ซิกิสมุนด์ ชโลโม ฟรอยด์ ก่อนที่จะตัดให้สั้นลงเหลือแค่ซิกมุนด์ ฟรอยด์ในปี 1877
ครอบครัวของฟรอยด์มีอาชีพขายขนสัตว์ มีฐานะปานกลาง เมื่ออายุได้ 4 ขวบจึงย้ายจากเมืองไฟรเบิร์กไปอยู่ที่กรุงเวียนนา และแต่งงานกับมาร์ธา เบอร์เน มีลูกด้วยกันถึง 6 คน จนถึงปี 1938 กองทัพนาซีของเยอรมันบุกเข้ายึดครองออสเตรีย ทำให้เขาต้องหลบหนีไปอยู่ที่อังกฤษ และ 1 ปีหลังจากนั้นเขาก็ถึงแก่กรรมในวันที่ 23 กันยายน 1939 ด้วยอายุ 83 ปี
ฟรอยด์สนใจด้านวิทยาศาสตร์มาตั้งแต่เด็ก เขาเรียนจบจากมหาวิทยาลัยเวียนนาสาขาวิทยาศาสตร์ในปี 1873 แต่เนื่องจากสาขานี้มีรายได้น้อยไม่พอหาเลี้ยงครอบครัว เขาจึงตัดสินใจเรียนต่อในสาขาแพทยศาสตร์ หลังจากเรียนจบเขาได้ไปศึกษาต่อด้านโรคทางสมองและประสาทที่กรุงปารีสกับหมอผู้เชี่ยวชาญด้านอัมพาต ที่นั่นฟรอยด์ได้ค้นพบว่าความจริงแล้วคนไข้บางรายป่วยเป็นอัมพาตเนื่องจากภาวะทางจิตใจไม่ใช่ร่างกาย
หลังจากกลับมาอยู่ที่กรุงเวียนนา ฟรอยด์จึงตัดสินใจเดินบนถนนของจิตแพทย์ และใช้วิธีการรักษาแบบจิตวิเคราะห์ (Psychoanalysis) กับคนไข้ที่เป็นอัมพาต กล่าวคือให้ผู้ป่วยเล่าถึงความคับข้องใจหรือความหวาดกลัวและพยายามให้ผู้ป่วยเข้าใจเหตุการณ์นั้นๆ เพื่อลดความขัดแย้งในใจ ปรากฏว่ามีผู้ป่วยหลายรายหายจากอัมพาต
นอกจากนี้เขายังได้เขียนตำราเกี่ยวกับทฤษฎีที่เขาค้นพบไว้หลายเล่ม ซึ่งเรื่องที่มีชื่อเสียงมาจนถึงปัจจุบันนี้ก็เช่น The Interpretation of dream (1900), New Introductory Lectures on Psychoanalysis (1933) เป็นต้น ทั้งนี้เขายังมีลูกศิษย์เป็นจำนวนมากอีกด้วย
ฟรอยด์ถือเป็นทั้งแพทย์และนักจิตวิทยาที่บุกเบิกการศึกษาทางด้านจิตวิทยา ทฤษฎีต่างๆ ที่เขาค้นพบยังคงนำมาใช้รักษาโรคทางจิตอยู่จนถึงปัจจุบัน หนึ่งในแนวคิดที่โด่งดังที่สุดของเขาก็คือ ความเชื่อที่ว่าพลังจิตใต้สำนึกมีผลต่อพฤติกรรมของแต่ละบุคคลและจำแนกบุคคลให้มีลักษณะแตกต่างกัน
เขาอธิบายว่าจิตใต้สำนึกของคนเราแบ่งเป็น 3 ส่วนคือ อิด(Id), อีโก้(Ego) และ ซูเปอร์อีโก้(Superego) โดย อิดจะเป็นพลังอารมณ์ความรู้สึกที่ติดตัวมนุษย์มาตั้งแต่เกิด เช่น รัก โลภ โกรธ หลง หรือเรียกว่าเป็นสัญชาตญาณดิบของคนเรานั่นเอง ซึ่งหากคนเรามีอิด เพียงอย่างเดียวก็จะไม่ต่างอะไรกับสัตว์ที่ไม่สามารถยับยั้งชั่งใจตัวเองได้
ในขณะที่ ซูเปอร์อีโก้จะเป็นพลังงานที่เกิดจากการเรียนรู้ค่านิยมต่างๆ เช่น ความดี ความชั่ว มโนธรรม เป็นต้น ซึ่งเป็นพลังในส่วนดีของจิตมนุษย์ที่จะคอยหักล้างกับพลังอิด
ทั้งนี้ในระหว่างความสุดขั้วของอิด และซูเปอร์อีโก้นั้นจะมี อีโก้อยู่ระหว่างกลางคอยทำหน้าที่ควบคุมไม่ให้คนเราแสดงสัญชาตญาณดิบออกมามากเกินไป แต่ก็ไม่ถึงขั้นทำให้คนเราแสดงออกซึ่งมโนธรรมเพียงอย่างเดียวเฉกเช่นซูเปอร์อีโก้

วันศุกร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2553

ชูลส์ แวร์น


ชูลส์ กาบรีล แวร์น (ฝรั่งเศส: Jules Gabriel Verne) (8 กุมภาพันธ์, พ.ศ. 2371 - 24 มีนาคม, พ.ศ. 2448) หรือที่รู้จักกันว่า จูลส์ เวิร์น เกิดที่เมืองนองส์ (Nantes) ประเทศฝรั่งเศส เป็นนักเขียนชาวฝรั่งเศส ผู้บุกเบิกการเขียนนิยายวิทยาศาสตร์สมัยแรกๆ แวร์นมีชื่อเสียงจากการเขียนเรื่องเกี่ยวกับการผจญภัยในอวกาศ ใต้น้ำ และการเดินทางต่างๆ ก่อนจะมีการประดิษฐ์เรือดำน้ำ หรืออากาศยานจริงๆ เป็นเวลานาน นวนิยายของเขามักใส่เนื้อหาวิทยาศาสตร์ที่สมจริง ซึ่งยังไม่คุ้นเคยกันในสมัยนั้นแต่ได้รับการยกย่องเป็นอย่างดีในเวลาต่อมา อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเขาจะบุกเบิกงานด้านนิยายวิทยาศาสตร์ แต่มีสัดส่วนที่น้อยกว่าเนื้อหาแนวอื่นๆ ที่เขาเขียน

บทประพันธ์ที่สำคัญได้แก่ Around the World in Eighty Days, Five Weeks In a Balloon, 20,000 Leagues Under the Sea นิยายวิทยาศาสตร์ในยุคท้าย ๆ ของ จูลส์ เวิร์นจะเริ่มสะท้อนถึงการมองเห็นด้านมืดของเทคโนโลยีรวมถึงการนำเทคโนโลยีไปใช้อย่างผิดทาง เช่น The Clipper of the Clouds, The Master of the World จูลส์ เวิร์นเสียชีวิตในปี พ.ศ. 2448 ภายเขาได้รับการยกย่องให้เป็น "บิดาแห่งนิยายวิทยาศาสตร์โลก" ร่วมกับ เฮช. จี. เวลล์ (Herbert George Wells) นักเขียนชาวอังกฤษ ซึ่งนักเขียนทั้งสองคนนี้ได้มีอิทธิพลต่อนิยายวิทยาศาสตร์และวงการวิทยาศาสตร์มาจนถึงปัจจุบันนี้

ชื่อของชูลส์ แวร์น ถูกนำไปตั้งเป็นชื่อของ ยานขนส่งอัตโนมัติ (Automated Transfer Vehicle - ATV) ลำแรกขององค์การอวกาศยุโรป[1] ซึ่งจะทำหน้าที่ขนส่งพัสดุ รวมทั้งต้นฉบับนิยายวิทยาศาสตร์ของเขา ขึ้นไปยังสถานีอวกาศนานาชาติ ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2550[2]

วันศุกร์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2553

10 เมืองที่เป็นมิตรต่อการขับขี่จักรยานมากที่สุดในโลก โดยใน 10 อันดับ

10 เมืองที่เป็นมิตรต่อการขับขี่จักรยานมากที่สุดในโลก โดยใน 10 อันดับนั้นประกอบด้วย
อันดับที่ 1 เมืองอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์
ที่เมืองนี้ถูกจัดให้อยู่ในอันดับสูงสุด เพราะว่า ประชากรเกือบ 40% ในกรุงอัมเตอร์ดัมเดินทางโดยการใช้รถจักรยาน แถมในเมืองนี้ยังมีจักรยานสาธารณะให้เช่ากันอย่างแพร่หลาย ทั้งยังมีแผนจัดสร้างที่จอดจักรายานขนาดใหญ่ที่สถานีรถไฟหลักประจำเมืองอัมสเตอร์ดัม ซึ่ง ณ ตอนนี้ก็ได้เริ่มดำเนินการก่อสร้างไปแล้ว

อันดับที่ 2 เมืองโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก
สำหรับเมืองนี้ 32% ของประชากรจะขี่จักรยานไปทำงานเป็นกิจวัตรประจำวัน และทางเมืองโคเปนเฮเกนยังมีวัฒนธรรมในการสนับสนุนให้ใช้รถจักรยานประจำเมืองด้วยการอนุญาตให้เช่ารถจักยานสาธารณะได้ฟรี โดยผู้เช่าจ่ายเพียงค่ามัดจำเท่านั้น

อันดับที่ 3 เมืองโบโกต้า ประเทศโคลัมเบีย
เนื่องจากประชากรในเมืองโบโกต้าที่ครอบครองรถยนต์มีเพียงแค่ 13% เท่านั้น การสัญจรโดยจักรยานจึงเป็นสิ่งจำเป็น ซึ่งทางการของเมืองโบโกต้ายังได้สนับสนุนการไม่ใช้รถ ด้วยการปิดถนนระยะทาง 70 ไมล์ เป็นเวลา 1 วันต่อสัปดาห์ เพื่อเปิดทางสะดวกให้แก่ผู้ขับขี่รถจักรยาน นักวิ่งจ็อกกิ้ง/ผู้เดินเท้า รวมถึงนักเล่นสเก็ตอีกด้วยค่ะ

อันดับที่ 4เมืองคูริติบา ประเทศบราซิล
จริงๆ แล้วเมืองคูริติบามีแผนการสนับสนุนการสัญจรด้วยจักรยานมาเป็นเวลากว่า 40 ปีแล้ว โดยในเมืองนี้จะมีการสร้างเลนจักรยานอยู่ทั่วทุกแห่งในคูริติบา นอกจากนี้ยังมีกลุ่มคนที่สนับสนุนการขี่จักรยานเพราะเป็นอีกทางเลือกที่ช่วยหลีกเลี่ยงสภาพรถติดของเมืองนี้ได้

อันดับที่ 5 เมืองมอนทรีออล ประเทศแคนาดา
เมื่อ 2 ปีก่อน เมืองมอนทรีได้ทุ่มงบประมาณจำนวน 134 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 4,422 ล้านบาท เพื่อปรับปรุงทางเดินรถจักรยานและสร้างที่ล็อกรถจักรยานอยู่ในที่จอดรถของเมือง นอกจากนั้น เมืองมอนทรีออลยังประกาศว่าขณะนี้ตนเองได้สร้างเลนจักรยานเป็นระยะทาง 2,400 ไมล์ และมีแผนจะขยายความยาวเพิ่มขึ้นอีก ที่สำคัญนครใหญ่อันดับ 2 ของแคนาดาถือเป็นเมืองแรกของภูมิภาคอเมริกาเหนือ ที่รวมเอาแผนงานเกี่ยวกับรถจักรยานเข้าไปในการจัดการโครงสร้างพื้นฐานของเมืองอีกด้วย

อันดับที่ 6 เมืองพอร์ตแลนด์ รัฐออริกอน ประเทศสหรัฐอเมริกา
เมืองนี้มีทางสัญจรสำหรับจักรยานโดยเฉพาะ ซึ่งทางที่สร้างขึ้นนั้นจะผ่านหน้าบ้านของประชาชนพอดี นอกจากนี้ยังมีการจำหน่ายจักรยานราคาถูกให้แก่ประชาชนที่ฐานะไม่ดีอีกด้วย สำหรับทางเดินรถจักรยานในพอร์ตแลนด์มีความยาว 260 ไมล์ และผู้คนเกือบ 9 % ของเมืองได้หันมาสัญจรโดยใช้รถจักรยาน

อันดับที่ 7 เมืองบาเซิล ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
ที่บาเซิลมีถนนที่เอื้อต่อผู้ขับขี่จักรยาน นอกจากนี้เมืองยังสนับสนุนเครือข่ายกิจการให้เช่ารถจักรยานแก่ประชากรทั่วไปและนักท่องเที่ยวอีกด้วย

อันดับที่ 8เมืองบาร์เซโลนา ประเทศสเปน
ที่บาร์เซโลนาได้มีการสร้างทางรถจักรยานที่เรียกว่า "อะ กรีน ริง" อยู่รอบใจกลางเมือง โดยในวงแหวนนี้จะมีสถานีรถจักรยานประจำการอยู่ถึง 100 แห่ง ซึ่งประชาชนสามารถเช่าและคืนรถจักรยานสาธารณะได้ในสถานีที่แตกต่างกัน

อันดับที่ 9 เมืองปักกิ่ง ประเทศจีน
ถึงแม้ว่าในปักกิ่งจะมีจำนวนรถยนต์เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่การเดินทางโดยจักรยานก็ถือเป็นการเดินทางที่ดีที่สุดของเมืองนี้ เพราะเนื่องจากปัญหารถติด ทำให้จักรยานเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ ทั้งนี้นอกจากรัฐบาลยังให้การ่สนับสนุนให้ผู้คนใช้จักรยานแล้ว อากาศที่ดีก็ถือเป็นปัจจัยสำคัญซึ่งส่งผลให้คนจีนในปักกิ่งยังนิยมขี่จักรยานกันอยู่

อันดับที่ 10 เมืองทรอนด์เฮม ประเทศนอร์เวย์

สำหรับที่นี่แล้วอุปสรรคสำคัญสำหรับการมีพาหนะเป็นรถจักรยานในเมืองที่มีสภาพภูมิประเทศเป็นเนินเขา ก็คือ การต้องใช้พลังงานอย่างหนักหน่วงในการปั่นจักรยานขึ้นเนิน แต่เมืองทรอนด์เฮมกลับสามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้ด้วยการประดิษฐ์สิ่งที่เรียกว่า "ลิฟท์จักรยาน" ซึ่งมีวิธีการเคลื่อนไหวคล้าย ๆ กับการลากสกี ขึ้นมา เพื่อช่วยให้ผู้คนสามารถนำรถจักรยานของตนเองขึ้นเนินเขาได้โดยไม่ต้องเสียแรงปั่น ทั้งยังเพิ่มความสะดวกให้กับผู้ใช้รถจักรยานอีกด้วย
ได้เห็นแบบนี้แล้วก็ต้องหันกลับมามองเรื่องของระบบจราจรในบ้านเราเหมือนกันนะคะ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะมีเส้นทางสัญจรสำหรับรถจักรยานโดยเฉพาะสักที เราจะได้หันมาอนุรักษ์พลังงานกันด้วยการปั่นจักรยานบ้างยังไงล่ะค่ะ …